จัดไฟในห้องทำงานอย่างไรให้เหมาะ ก่อนสายตาเสีย

สถานการณ์ในช่วงนี้ ทำให้หลายๆ คนต้อง Work from home จำเป็นต้องทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลายาวนาน การจัดห้อง หรือมุมทำงานให้เหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของสายตา เพราะทุกคนจะต้องใช้สายตาในการทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร หรืองานออนไลน์ที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน แสงที่เพียงพอ และเหมาะสมสำหรับการทำงาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากจะมีผลต่อสายตาแล้ว ยังมีผลกับประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย วันนี้เราจึงอยากจะมาแนะนำทริคดีๆ ในการจัดแสงในห้องทำงานให้กับทุกคนค่ะ

แหล่งกำเนิดแสง

1. แสงสว่างจากแสงธรรมชาติ

แสงสว่างจากธรรมชาติ เป็นแสงที่ดีมากสำหรับสายตาของเรา ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรจัดโต๊ะทำงานให้อยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องเปิดไฟจากหลอดไฟ หรือโคมไฟ และสามารถทำงานได้ในเวลากลางวัน แต่ถ้าหากังวลว่าจะร้อน หรือได้รับแสงแดดมากไป สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการติดตั้งผ้าม่านกรองแสง จะช่วยกรองแสงจากภายนอก ให้เข้ามาอย่างพอดี

การจัดโต๊ะทํางานควรหันหน้าเข้าหา แหล่งของแสงธรรมชาติ ถ้าถนัดขวา แสงสว่างควรจะส่องเข้ามาผ่านทางด้านซ้าย แต่ถ้าหากถนัดซ้าย แสงควรส่องผ่านทางด้านขวา เพื่อให้แสงไม่แยงตารบกวนระหว่างการทำงาน

2. แสงสว่างจากหลอดไฟ 

ช่วงเวลากลางคืน หรือในเวลาที่แสงธรรมชาติไม่เพียงพอ เราจึงจำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟ ซึ่งปัจจุบันหลอดไฟนั่นมีหลายชนิดมาก และหลอดไฟที่เหมาะกับติดตั้งในห้องทำงาน คือ หลอดไฟฮาโลเจน หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หลอดไฟ LED เป็นต้นแสงสว่างจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มีความในระดับที่พอดี มีความคล้ายคลึงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด โดยควรเลือกเป็นไฟสีขาว เพราะดีต่อสายตา นอกจากนั้นยังทำให้ห้องดูโมเดิร์นอีกด้วย แต่ถ้าใครชอบโคมไฟระย้า ก็สามารถนำมาตกแต่งห้อง แล้วติดหลอดไฟลงไป ก็สามารถทำให้ห้องดูสวยงามขึ้น หรือถ้าอยากได้แสงสว่างเฉพาะจุด ก็สามารถใช้โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น ในการเพิ่มแสงสว่างก็ได้เช่นกัน

การเลือกระดับแสง และสีของหลอดไฟ

ระดับความสว่างของหลอดไฟควรอยู่ที่ 400-600 ลักซ์ ส่วนสีของแสงจากหลอดไฟ หรืออุณหภูมิของสี ถ้าหากมีอุณหภูมิต่ำแสงของหลอดไฟจะเป็นสีโทนส้ม แต่ถ้าหากอุณหภูมิสูง แสงของหลอดไฟจะเป็นสีโทนเย็น เช่นสีฟ้า หรือสีขาว โดยในปัจจุบันมีสีของแสงจากหลอดไฟให้เลือกใช้งาน 3 ชนิดหลักๆ ได้แก่  วอร์มไวท์ (warm white), คูลไวท์ (cool white) และเดย์ไลท์ (day light) โดยแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันดังนี้

– Warm white ให้แสงสว่างโทนอบอุ่น สีออกเหลืองส้ม ช่วยให้บรรยากาศในห้องรู้สึกผ่อนคลาย และสบายตาที่สุด เหมาะสำหรับห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น 

– Cool white ให้แสงสว่างโทนสีขาว สบายตา เหมาะสมกับการติดตั้งในห้องทำงาน รวมถึงห้องครัวด้วย

– Daylight ให้แสงสว่างมากที่สุด เหมือนกับแสงสว่างในธรรมชาติ ถือว่าเป็นสีของแสงที่เหมาะกับห้องทำงานมากที่สุด เพราะเป็นแสงที่สบายตา ส่งผลให้รู้สึกกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง และทำให้การรับรู้สีไม่ผิดเพี้ยน เหมือนกับสี Warm White 

แต่สำหรับบ้านที่เลือกใช้แสงสี Warm White  ติดตั้งในห้องไปแล้ว แต่มีความจำเป็นจะต้องนั่งทำงานในพื้นที่นั้น สามารถใช้โคมไฟตั้งโต๊ะ หรือติดตั้งหลอดไฟเล็กๆสี Daylight  ก็จะสามารถทำให้ทำงานภายใต้แสงนั้นได้ เช่นเดียวกัน สำหรับในตอนกลางคืน ควรเลือกใช้โคมไฟ LED มาติดตั้งเฉพาะจุด เพื่อเป็นการช่วยรักษาสุขภาพของสายตาในระยะยาว 

สิ่งที่ต้องรู้ในการจัดโคมไฟตั้งโต๊ะ

1. การจัดมุม หรือแสงสะท้อนจากโคมไฟ 

การจัดมุมของโคมไฟที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสายตาได้ เช่น การจัดให้มุมแสงสว่างสะท้อนจากด้านหลัง หรือด้านบนศีรษะ จะทำให้เกิดเงาพาดลงบนโต๊ะทำงาน และหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ วิธีการแก้ไข คือ ขยับโคมไฟให้ออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหันโคมไฟเข้าผนังด้านหลังจอ เพื่อช่วยลดเงา และเพิ่มความสบายตามากขึ้น 

2. การเลือกและปรับระดับความ โคมไฟ

ควรเลือกโคมไฟตั้งโต๊ะที่มีความสูงรวมกับโต๊ะ ประมาณ 60-64 นิ้ว จะเป็นความสูงที่เหมาะสม และยังช่วยกระจายแสงสว่างให้ทั่วถึง ในขณะที่ทำงานอีกด้วย

3. ขนาด และรูปทรงของโคมไฟ 

ขนาดของโคมไฟ ควรจะสมดุลกับขนาดของโต๊ะทำงาน คือไม่ใหญ่จนทำให้โต๊ะดูแคบ หรือเล็กจนทำให้โต๊ะดูกว้าง นอกจากให้ความสว่างแล้ว โคมไฟยังมีส่วนในการช่วยตกแต่งห้องให้สวยงามดูมีสไตล์ ความสูงของโคมไฟไม่ควรเกิน 1 ส่วน 2 เท่าของความสูงโต๊ะ โคมไฟควรจะอยู่ในระดับสายตาพอดี เพื่อให้ได้รับแสงที่เพียงพอในการทำงาน

เมื่อรู้เทคนิคเหล่านี้แล้ว คุณสามารถลองไปตรวจสอบหลอดไฟ กับโคมไฟในบ้านของคุณว่าเป็นแบบใด ถูกจัดอยู่ในลักษณะไหนอยู่ในตอนนี้ และอย่าลืมนำเทคนิคที่เราแนะนำไป ปรับใช้กับมุมทำงานของคุณ เพื่อสุขภาพสายตาที่ดี และความลื่นไหลในการทำงานของคุณ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคน Work from home กันอย่างมีความสุขนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด