หลายคนมีความฝันที่อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังมีความกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายเพราะจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่หลักหลายแสนไปจนถึงหลายๆบาท การกู้เงินกับสถาบันการเงินต่างๆจึงเป็นทางออกเดียวสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีเงินก้อนใหญ่ๆแบบนั้น แต่การกู้เงินก็ไม่ได้ง่ายดายเหมือนโรยกลีบกุหลาบ เพราะเราจะต้องเตรียมประวัติ และข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อไปยื่นกู้ ในวันนี้เราจึงอยากจะมาแชร์ 8 ทริคดีๆที่ทำให้การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านและคอนโดผ่านได้อย่างสบายๆ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
1. ประเมินเงินกู้ที่เหมาะสมกับคุณ
การจะกู้เงินนั้นมีปัจจัยสำคัญที่สุด คือจะต้องกู้ในจำนวนที่เหมาะสมกับรายได้และรายจ่าย รวมไปถึงความสามารถในการผ่อนชำระเงินของคุณ ไม่ว่าจะกู้คนเดียวหรือมีผู้กู้ร่วม ก็ต้องคำนึงถึงรายได้รวมของผู้กู้ทุกคนรวมกัน นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงรายจ่ายและการผ่อนชำระสินค้าอื่นๆที่จำเป็นจะต้องแบ่งเงินไปจ่าย เพราะฉะนั้นไม่ควรเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่เกินความสามารถที่จะผ่อนชำระไหว
ตัวอย่างการกู้เกินตัวคือในบางครั้งบางแบรนด์ต้องการเร่งยอดสินเชื่อ และเสนอวงเงินกู้ให้สูงกว่าราคาบ้านหรือคอนโดที่ซื้อ หลายๆครั้งผู้กู้ก็จะเลือกกู้เต็มจำนวน ซึ่งความจริงแล้วนั้นมันเกินความจำเป็นในการซื้อและสร้างบ้านของเรา และน่าจะทำให้เกิดปัญหาในการผ่อนระยะยาวได้
2. ประเมินเงินเก็บของเรา
ผู้ที่ตั้งใจซื้อบ้านหรือคอนโดควรจะมีเงินเก็บอยู่แล้วประมาณ 10% ของราคาที่อยู่อาศัยที่ตั้งใจจะซื้อ เพื่อเตรียมไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่นค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ หรือในกรณีที่กู้ได้ไม่อนุมัติวงเงินเต็มจำนวนก็จะสามารถใช้เงินในส่วนนี้จ่ายส่วนต่างได้ ในบางครั้งผู้กู้ไม่ได้มีเงินเก็บสำรองเพียงพอ เมื่อได้สินเชื่อเกินวงเงินที่ต้องการก็จะต้องไปหยิบยืมคนอื่นเพื่อมาจ่ายส่วนต่าง ซึ่งมีความเสี่ยงมากในระยะยาว และถ้าหากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ก็จำเป็นจะต้องปล่อยบ้านหรือคอนโดที่ตั้งใจจะซื้อไปพร้อมเงินดาวน์โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรระมัดระวังเรื่องนี้ให้ดีค่ะ
3. การตกแต่งประวัติทางการเงินของผู้กู้
ประวัติทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ยื่นในการกู้ ถ้าคนที่มีอาชีพที่มั่นคงและรายได้สม่ำเสมอจะมีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงมากกว่าผู้ที่ได้รับรายได้ไม่สม่ำเสมอ เช่น ฟรีแลนซ์หรือคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ จะมีโอกาสได้รับการอนุมัติต่ำกว่าพนักงานประจำ อย่างไรก็ตามเราควรจัดการประวัติทางการเงินให้ดูสวยและน่าเชื่อถือ ทั้งบัญชีเงินเก็บและบัญชีรายรับหรือเงินเดือน โดยควรเตรียมบัญชีเงินฝากของเราให้ดูดีก่อนการกู้ซักประมาณ 3 ถึง 6 เดือน โดยควรจะมีเงินเก็บอย่างน้อยเดือนละ 500 ถึง 1,000 บาทนั่นคือไม่ควรเกิดกดเงินออกมาใช้ทั้งหมด เท่านี้บัญชีก็สวยเพียงพอที่จะยื่นกู้ได้
4. ดูแลประวัติรายได้หรือการรับเงินเข้า
เรื่องรายได้เป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทหรือธนาคารที่ปล่อยเงินกู้จะต้องสนใจ สำหรับผู้ที่มีรายได้แน่นอนและมั่นคงก็จะสามารถยื่นกู้ได้ง่ายแต่สำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระและรายได้ไม่แน่นอน จะทำให้กู้ยากมากขึ้นเพราะธนาคารจะรู้สึกว่า การเงินไม่มั่นคงพอที่จะจ่ายประจำทุกๆเดือน ดังนั้นผู้ที่ทำอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์จำเป็นจะต้องทำเงินให้เข้าบัญชีต่อเนื่องอย่างน้อย 6-12 เดือนเพื่อยืนยันว่ามีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายเงินกู้ได้ ส่วนพนักงานประจำที่ไม่ได้มีสลิปเงินเดือนซึ่งส่วนมากจะรับเงินเดือนเป็นเงินสด ควรสร้างประวัติรายได้ด้วยการนำเงินไปฝากเข้าบัญชีทุกๆเดือนอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนยื่นกู้ ซึ่งเวลากู้เราสามารถจะขอเอกสารรับรองเงินเดือนหรือรายได้จากบริษัทหรือเจ้านายที่ทำงานอยู่ด้วยมาเป็นองค์ประกอบในการยื่นกู้ได้ ยิ่งเป็นบริษัทที่ดูมั่นคงและน่าเชื่อถือก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสยื่นกู้ได้ง่ายขึ้น
5. จัดการเคลียร์หนี้สินให้หมด
ทางที่ดีควรจัดการเคลียร์หนี้ผ่อนสินค้าให้หมดก่อนยื่นกู้ 3 ถึง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพราะในระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นระยะเวลาที่ธนาคารต่างๆจะส่งรายงานบัญชีให้เครดิตบูโร เป็นการโชว์ว่าได้เคลียร์หนี้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเพิ่งไปเคลียร์ก่อนไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ผลนี้อาจจะยังไม่โชว์และประวัติก็จะยังไม่สวยงามมากนัก
6. การยื่นกู้ขณะที่ยังมีหนี้ค้างชำระ
สำหรับคนที่ยังมีหนี้ค้างชำระอยู่สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลมายังเครดิตบูโรซึ่งอาจจะถูกประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะขาดความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตได้ หรือแม้กระทั่งเพิ่งเคลียร์ชำระทั้งหมดก่อนการกู้ไม่นานก็อาจจะเสี่ยงที่จะกู้ไม่ผ่านเช่นกัน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจต่างๆของเจ้าหน้าที่ที่อนุมัติการกู้สินเชื่อ แต่ถ้ามีประวัติการผ่อนดาวน์ที่สม่ำเสมอและตรงเวลามาตลอด รวมทั้งประวัติการชำระหนี้ต่างๆที่เป็นประวัติดี ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถยื่นกู้ได้เช่นกัน
7. ไม่ควรผ่อนสินค้าได้ก่อนยื่นกู้ 3 เดือน
เพื่อการสร้างประวัติบัญชีที่ดีไม่ควรทำการผ่อนสินค้าใดๆเพิ่มในช่วงก่อนการยื่นกู้ 3 เดือน เพราะจะเป็นการตัดวงเงินทำให้สามารถกู้ได้วงเงินน้อยลง และยังทำให้ประวัติด้อยลงไปจากการที่ไม่มีประวัติการกู้ใดๆอีกด้วย
8. จัดการเตรียมเอกสารการกู้
บอกเลยว่า เอกสารต่างๆที่ใช้แนบกับการยื่นกู้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจยื่นกู้ทุกๆคนควรเตรียมเอกสารให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเอกสารยืนยันรายได้ เช่น หนังสือรับรองหรือสลิปเงินเดือน เอกสารประวัติรายได้ เอกสารการยืนยันจากบริษัทและ ประวัติการเดินบัญชีอย่างน้อย 3 ถึง 6 เดือน เอกสารเกี่ยวกับตัวผู้กู้เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารการสมรส และเปลี่ยนชื่อ ซึ่งถ้าหากว่าเอกสารพร้อมและสมบูรณ์มีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อสูงมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์