Kave Playground (copy)

การผ่อนบ้านให้หมดเร็วทำอย่างไร? วิธีลดต้นลดดอกและจบหนี้ก่อนกำหนด

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของคนจำนวนมาก แต่การผ่อนบ้านมักกินระยะเวลายาวนานถึง 20-30 ปี ส่งผลให้เสียดอกเบี้ยมหาศาล บทความนี้จะมาแนะนำวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็วกว่ากำหนด เพื่อประหยัดดอกเบี้ยและสร้างอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งคำแนะนำในการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการหนี้บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระมากเกินไป

ทำไมการผ่อนบ้านให้หมดเร็วจึงสำคัญต่อสุขภาพทางการเงิน?

การผ่อนบ้านให้หมดเร็วกว่ากำหนดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพทางการเงินในระยะยาว เนื่องจากสามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ยิ่งผ่อนนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเสียดอกเบี้ยมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้เงิน 3 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4% ต่อปี คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมกว่า 2.1 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา แต่หากคุณสามารถผ่อนให้หมดใน 15 ปี ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น

นอกจากนี้ การปลดภาระหนี้บ้านเร็วขึ้นยังช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ทำให้สามารถนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนหรือเก็บออมเพื่ออนาคตได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดจากการมีหนี้สินระยะยาว และเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน อัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ตลอดเวลา การมีภาระหนี้น้อยลงจึงช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้อย่างมาก

การวางแผนการเงินเพื่อปิดหนี้บ้านเร็วขึ้นจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้เร็วกว่าที่คิด และจะทำให้คุณมีเงินเหลือเพื่อทำตามเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ ในอนาคต เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาของบุตร หรือการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน?

ก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างรอบคอบ คุณควรเริ่มจากการสำรวจรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน ตามหลักการวางแผนการเงินที่ดี ภาระหนี้ทั้งหมดไม่ควรเกิน 40% ของรายได้สุทธิ เช่น หากคุณมีรายได้สุทธิเดือนละ 50,000 บาท ภาระหนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือหนี้บัตรเครดิต ควรรวมกันแล้วไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน

การเลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยสถาบันการเงินจะประเมินความสามารถในการกู้ของคุณจากหลายปัจจัย เช่น รายได้ประจำ ภาระหนี้ปัจจุบัน และประวัติการชำระหนี้ โดยทั่วไป หากไม่มีภาระหนี้อื่น ธนาคารมักให้วงเงินกู้ขั้นต่ำประมาณ 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 45,000 บาทต่อเดือน คุณอาจได้รับวงเงินกู้ประมาณ 2.7 ล้านบาท

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเงินดาวน์ การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระในการผ่อนชำระและประหยัดดอกเบี้ยได้มาก แนะนำให้วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรวางอย่างน้อย 5-10% ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ คุณควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) คืออะไร และสำคัญอย่างไร?

อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ Debt Service Ratio (DSR) คือสัดส่วนระหว่างภาระการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดต่อรายได้ของผู้กู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

แม้ว่า ธปท. จะไม่ได้กำหนดเพดานอัตราส่วน DSR ที่ชัดเจน แต่ได้กำหนดให้สถาบันการเงินต้องพิจารณาให้ลูกหนี้มีเงินเหลือจากการผ่อนภาระหนี้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน โดยสถาบันการเงินอาจกำหนดอัตราส่วน DSR หรืออัตราส่วนอื่นเป็นเกณฑ์ภายในของตนเองเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ

น่าสนใจว่า ธปท. ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ห้ามลูกหนี้นำญาติมาเป็นผู้กู้ร่วม ตรงกันข้าม ธปท. กลับส่งเสริมให้บุคคลที่มีความตั้งใจจะช่วยลูกหนี้ผ่อนชำระมาทำสัญญากู้ร่วม เพื่อให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบตามจริงในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งช่วยให้ผู้กู้มีโอกาสได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นและมีภาระการผ่อนที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้

ดังนั้น การรักษาอัตราส่วน DSR ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณไม่เกิน 40-50% ของรายได้) จะช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อง่ายขึ้น และที่สำคัญคือช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีภาระหนี้เกินตัวจนกระทบต่อคุณภาพชีวิต

เงินดาวน์บ้านคืออะไร? และควรวางดาวน์เท่าไหร่?

เงินดาวน์บ้าน คือ เงินก้อนที่ผู้ซื้อต้องจ่ายให้กับเจ้าของบ้านหรือโครงการก่อนทำสัญญากู้สินเชื่อกับธนาคาร เพื่อเป็นหลักประกันและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขาย โดยทั่วไปเงินดาวน์จะอยู่ที่ 5-30% ของราคาบ้าน ซึ่งจะถูกนำไปหักกับมูลค่าบ้านทั้งหมด ทำให้ยอดกู้ลดลง ช่วยประหยัดดอกเบี้ย และเพิ่มโอกาสให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วมากขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับที่อยู่อาศัยไว้ดังนี้:

สำหรับที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท:

  • สัญญาที่ 1: กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน และกู้เพิ่มได้อีก 10% สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าอยู่อาศัย เช่น เฟอร์นิเจอร์ การตกแต่งบ้าน
  • สัญญาที่ 2: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10% หากผ่อนสัญญาที่ 1 มาแล้วมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ปี และ 20% หากผ่อนสัญญาที่ 1 น้อยกว่า 2 ปี
  • สัญญาที่ 3 ขึ้นไป: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 30%

สำหรับที่อยู่อาศัยราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป:

  • สัญญาที่ 1: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10%
  • สัญญาที่ 2: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 20%
  • สัญญาที่ 3 ขึ้นไป: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 30%

การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่สูงกว่าที่กำหนด เช่น 20-30% จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระและประหยัดดอกเบี้ยได้มาก เนื่องจากยอดเงินกู้ลดลง ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าด้วย เนื่องจากความเสี่ยงของธนาคารลดลง

มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้น?

การผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้:

1. ชำระเกินกว่ายอดที่กำหนดทุกงวด

วิธีนี้ช่วยลดเงินต้นได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงตามไปด้วย เพราะสินเชื่อบ้านส่วนใหญ่เป็นแบบลดต้นลดดอก คุณอาจเริ่มจากการเพิ่มยอดชำระ 10-20% ของค่างวดปกติ เช่น จากเดิมผ่อนเดือนละ 10,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 12,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งนี้ อย่าลืมแจ้งธนาคารให้นำเงินส่วนที่เกินไปหักเงินต้น ไม่เช่นนั้นระบบอาจตัดเป็นการชำระล่วงหน้าแทน

2. ชำระเพิ่ม 1 งวดปีละครั้ง

เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นก้อนเสริมจากการทำงานพิเศษหรือได้รับโบนัสประจำปี โดยนำเงินก้อนนั้นมาชำระเพิ่มเท่ากับหนึ่งงวด เช่น จากปกติผ่อนเดือนละ 10,000 บาท เมื่อได้รับโบนัสอาจนำมาชำระเพิ่มอีก 10,000 บาท เสมือนการชำระล่วงหน้า 1 งวด ช่วยลดเงินต้น และย่นระยะเวลาชำระไป 1 เดือน

3. โปะเพิ่มในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

ในช่วง 3-5 ปีแรกของการผ่อนบ้าน สถาบันการเงินมักให้โปรโมชันดอกเบี้ยคงที่ในอัตราต่ำ การโปะเงินในช่วงนี้จะช่วยลดเงินต้นได้มาก และมีผลต่อการลดดอกเบี้ยในระยะยาว เพราะเมื่อดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในปีถัดไป ฐานเงินต้นของคุณก็จะลดลงไปแล้ว

4. ชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ

การชำระหนี้ตรงเวลาไม่เพียงช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัดชำระ แต่ยังช่วยสร้างประวัติเครดิตที่ดี ทำให้มีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้นเมื่อต้องการรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่นในอนาคต ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดระยะเวลาการผ่อนได้

5. ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่

หลังจากผ่อนบ้านไปได้ระยะหนึ่ง (ประมาณ 3 ปีขึ้นไป) คุณอาจพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่น เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับโปะเงินต้น และลดระยะเวลาการผ่อนให้สั้นลง

จากการศึกษาพบว่า หากใช้วิธีผ่อนเพิ่ม 50% จากค่างวดปกติ อาจช่วยลดระยะเวลาผ่อนจาก 30 ปี เหลือเพียงประมาณ 14-15 ปีได้ หรือหากรีไฟแนนซ์ไปยังสถาบันการเงินที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม 2-3% จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้ถึง 5-10 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงินและยอดเงินกู้คงเหลือ

รีไฟแนนซ์และรีเทนชั่นต่างกันอย่างไร? แบบไหนช่วยประหยัดได้มากกว่ากัน?

รีไฟแนนซ์และรีเทนชั่นเป็นสองวิธีที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและย่นระยะเวลาการผ่อนบ้านให้สั้นลงได้ แต่มีความแตกต่างกันดังนี้:

รีไฟแนนซ์ (Refinance)

คือ การย้ายหนี้บ้านจากสถาบันการเงินเดิมไปยังสถาบันการเงินใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า พูดง่ายๆ คือการกู้เงินจากที่ใหม่เพื่อไปปิดหนี้ที่เก่า แล้วผ่อนชำระกับสถาบันการเงินใหม่แทน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านมาแล้วระยะหนึ่ง (ประมาณ 3-5 ปี) และพบว่าดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น หรือมีสถาบันการเงินอื่นเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

ข้อดีของการรีไฟแนนซ์คือ มักได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีแรก ซึ่งสถาบันการเงินมักเสนอโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม มีค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณา เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ ค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนจากสถาบันการเงินเดิม ดังนั้น ควรรีไฟแนนซ์เมื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าเดิมอย่างน้อย 2-3% เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

รีเทนชั่น (Retention)

คือ การขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิมที่กู้อยู่ โดยไม่ต้องย้ายไปที่อื่น สามารถทำได้หลังจากผ่อนชำระมาแล้วประมาณ 3 ปี และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี ข้อดีของวิธีนี้คือ กระบวนการไม่ยุ่งยาก ใช้เอกสารน้อย และไม่มีค่าใช้จ่ายในการจดจำนองใหม่ เพียงแค่นำสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และสัญญาเงินกู้ไปติดต่อกับสถาบันการเงินเดิม

อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการรีเทนชั่นมักจะลดลงไม่มากเท่ากับการรีไฟแนนซ์ และอาจมีค่าธรรมเนียมประมาณ 1-2% ของวงเงินกู้ แต่ก็ยังถือว่าคุ้มค่ากว่าการรีไฟแนนซ์ในกรณีที่ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก

เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองวิธี รีไฟแนนซ์ มักจะช่วยประหยัดได้มากกว่าในระยะยาว หากได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก แต่มีค่าใช้จ่ายแรกเริ่มสูงและขั้นตอนยุ่งยาก ในขณะที่ รีเทนชั่น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายมาก โดยยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะลดลงไม่มากเท่ารีไฟแนนซ์

ผ่อนบ้านไปกี่ปีถึงขายต่อได้ และต้องทำอย่างไรบ้าง?

หลายคนอาจสงสัยว่าหากต้องการขายบ้านที่กำลังผ่อนอยู่ จะต้องผ่อนไปนานแค่ไหนถึงจะขายได้ คำตอบคือ คุณสามารถขายบ้านได้ตั้งแต่วันที่คุณเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ผ่อนครบตามสัญญา แต่มีข้อควรคำนึงบางประการที่ต้องพิจารณา

สิ่งที่ควรรู้ก่อนขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมด คือ หากคุณมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปีในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ คุณจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาขาย ดังนั้น หากไม่เร่งรีบ การถือครองบ้านอย่างน้อย 1 ปีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้

ขั้นตอนการขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดมีดังนี้:

  1. หาผู้ซื้อ – คุณสามารถขายเองหรือผ่านนายหน้าก็ได้ การขายผ่านนายหน้าจะสะดวกกว่า แต่ต้องเสียค่านายหน้าประมาณ 3% ของราคาขาย
  2. แจ้งธนาคารเพื่อไถ่ถอน – เมื่อได้ผู้ซื้อแล้ว ให้ติดต่อสถาบันการเงินที่คุณกำลังผ่อนบ้านอยู่ เพื่อขอทราบยอดหนี้คงเหลือและขั้นตอนการไถ่ถอนจำนอง ซึ่งจะประกอบด้วยเงินต้นคงเหลือ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมการไถ่ถอน
  3. ตกลงเรื่องการชำระเงิน – หากผู้ซื้อชำระด้วยเงินสด ก็จะนำเงินไปชำระให้ธนาคารโดยตรงในวันโอนกรรมสิทธิ์ แต่หากผู้ซื้อต้องการกู้ ธนาคารของผู้ซื้อจะเป็นผู้ออกแคชเชียร์เช็คเพื่อชำระหนี้ให้กับธนาคารของคุณ
  4. นัดโอนกรรมสิทธิ์ – ในวันโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อ และตัวแทนจากสถาบันการเงินทั้งสองฝ่าย (กรณีผู้ซื้อกู้) จะต้องไปที่กรมที่ดินพร้อมกัน เพื่อทำการไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อ
  5. รับเงินส่วนต่าง – หลังจากหักยอดหนี้คงเหลือและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว คุณจะได้รับเงินส่วนต่าง ซึ่งคือกำไรจากการขายบ้าน

เวลาที่เหมาะสมในการขายบ้านเพื่อสร้างผลกำไรมักจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ปีหลังจากซื้อ เนื่องจากเป็นช่วงที่มูลค่าบ้านมักเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ยอดหนี้คงเหลือลดลงไปพอสมควรแล้ว ทำให้มีกำไรจากการขายมากขึ้น

สรุป

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันที่น่าภาคภูมิใจ แต่ภาระผ่อนบ้านระยะยาวก็เป็นสิ่งที่หลายคนต้องการลดให้สั้นลง การผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นไม่เพียงช่วยประหยัดดอกเบี้ยจำนวนมาก แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชำระเกินทุกงวด การโปะเพิ่มเมื่อมีเงินก้อน การรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่น ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบและมีวินัยในการชำระหนี้จะช่วยให้คุณสามารถปลดภาระหนี้บ้านได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือสำหรับการลงทุนหรือการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในชีวิต

 

#สาระ #การเงิน #วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว #ลดต้นลดดอก #รีไฟแนนซ์บ้าน #รีเทนชั่นบ้าน #เงินดาวน์บ้าน #อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ #DSR #วางแผนการเงิน #ปลดหนี้บ้าน #ชำระหนี้ก่อนกำหนด

อ่านเพิ่ม

หมายเหตุ ข้อจำกัดความรับผิดชอบ : บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ Homeday โดย บริษัท โฮมเดย์ กรุ๊ป จำกัด เท่านั้น บริษัทไม่สามารถให้คำมั่นหรือคำรับประกันเกี่ยวกับเนื้อหา รวมถึงไม่สามารถรับรองความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์เฉพาะใดๆ ตามขอบเขตของกฎหมาย เราจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่ปรากฏในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วนสมบูรณ์ ณ เวลาที่จัดทำ ข้อมูลดังกล่าวไม่ควรนำไปใช้ในการพิจารณาตัดสินใจด้านการเงิน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือประเด็นกฎหมายโดยทันที ผู้อ่านไม่ควรอาศัยข้อมูลในบทความนี้แทนคำแนะนำจากผู้ชำนาญการที่ได้รับการฝึกฝนซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและสภาวะเฉพาะของท่านได้ ทั้งนี้ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆ หากท่านเลือกที่จะนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจของท่าน

Sidebar
The Palm (copy)
บทความล่าสุด
ทำไมต้องแต่งห้องนอนให้สวย? 7 วิธีเปลี่ยนห้องนอนธรรมดาให้น่าพักผ่อนและมีสไตล์
แต่งบ้าน
มหาเศรษฐีนักธุรกิจระดับโลก Allan Zeman พลิกบทบาทไลฟ์สไตล์ภูเก็ต เปิดเกมรุกเขย่าตลาดอสังหาฯ
ข่าวสาร
แสนสิริเปิดตัว “WIDEN by Sansiri” (ไวด์เด็น บาย แสนสิริ) มูลค่าโครงการ 3,100 ลบ. Hidden Gem กลางเมือง บนทำเลที่ดินหายาก Rare Location “นางลิ้นจี่” คอนโดฯ ห้องใหญ่ เป็นส่วนตัว วิวโค้งน้ำบางกระเจ้า เลี้ยงสัตว์ได้ ที่จอดรถ 105 % เริ่ม 8.9 – 49.9 ล้าน*
ข่าวสาร
‘OCC’ ขึ้นแท่นฮับออฟฟิศใหม่แห่งเอเชีย ล่าสุดดึง ‘KEX’ เช่าพื้นที่ ตอกย้ำศักยภาพอาคารสำนักงานเกรด A+ ที่องค์กรระดับโลกไว้วางใจ
ข่าวสาร
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัว ดิ เอสเตท สมุย โครงการบ้านพักตากอากาศระดับอัลตราลักซ์ชูรี เผยความต้องการอสังหาริมทรัพย์หรูพุ่งต่อเนื่อง ตอบรับกระแสซีรีส์ The White Lotus
ข่าวสาร
รีวิวโครงการ
รีวิว เดอะ ซิกเนเจอร์ สุขุมวิท 77 (The Signature Sukhumvit 77) บ้านหรูระดับ Super Luxury บททำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง
Review
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
Loading..