การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของคนจำนวนมาก แต่การผ่อนบ้านมักกินระยะเวลายาวนานถึง 20-30 ปี ส่งผลให้เสียดอกเบี้ยมหาศาล บทความนี้จะมาแนะนำวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็วกว่ากำหนด เพื่อประหยัดดอกเบี้ยและสร้างอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งคำแนะนำในการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการหนี้บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระมากเกินไป

ทำไมการผ่อนบ้านให้หมดเร็วจึงสำคัญต่อสุขภาพทางการเงิน?
การผ่อนบ้านให้หมดเร็วกว่ากำหนดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพทางการเงินในระยะยาว เนื่องจากสามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ยิ่งผ่อนนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเสียดอกเบี้ยมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้เงิน 3 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4% ต่อปี คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมกว่า 2.1 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา แต่หากคุณสามารถผ่อนให้หมดใน 15 ปี ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ การปลดภาระหนี้บ้านเร็วขึ้นยังช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ทำให้สามารถนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนหรือเก็บออมเพื่ออนาคตได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดจากการมีหนี้สินระยะยาว และเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน อัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ตลอดเวลา การมีภาระหนี้น้อยลงจึงช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้อย่างมาก
การวางแผนการเงินเพื่อปิดหนี้บ้านเร็วขึ้นจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้เร็วกว่าที่คิด และจะทำให้คุณมีเงินเหลือเพื่อทำตามเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ ในอนาคต เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาของบุตร หรือการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน?
ก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างรอบคอบ คุณควรเริ่มจากการสำรวจรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน ตามหลักการวางแผนการเงินที่ดี ภาระหนี้ทั้งหมดไม่ควรเกิน 40% ของรายได้สุทธิ เช่น หากคุณมีรายได้สุทธิเดือนละ 50,000 บาท ภาระหนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือหนี้บัตรเครดิต ควรรวมกันแล้วไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน
การเลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยสถาบันการเงินจะประเมินความสามารถในการกู้ของคุณจากหลายปัจจัย เช่น รายได้ประจำ ภาระหนี้ปัจจุบัน และประวัติการชำระหนี้ โดยทั่วไป หากไม่มีภาระหนี้อื่น ธนาคารมักให้วงเงินกู้ขั้นต่ำประมาณ 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 45,000 บาทต่อเดือน คุณอาจได้รับวงเงินกู้ประมาณ 2.7 ล้านบาท
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเงินดาวน์ การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระในการผ่อนชำระและประหยัดดอกเบี้ยได้มาก แนะนำให้วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรวางอย่างน้อย 5-10% ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ คุณควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ Debt Service Ratio (DSR) คือสัดส่วนระหว่างภาระการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดต่อรายได้ของผู้กู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567
แม้ว่า ธปท. จะไม่ได้กำหนดเพดานอัตราส่วน DSR ที่ชัดเจน แต่ได้กำหนดให้สถาบันการเงินต้องพิจารณาให้ลูกหนี้มีเงินเหลือจากการผ่อนภาระหนี้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน โดยสถาบันการเงินอาจกำหนดอัตราส่วน DSR หรืออัตราส่วนอื่นเป็นเกณฑ์ภายในของตนเองเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
น่าสนใจว่า ธปท. ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ห้ามลูกหนี้นำญาติมาเป็นผู้กู้ร่วม ตรงกันข้าม ธปท. กลับส่งเสริมให้บุคคลที่มีความตั้งใจจะช่วยลูกหนี้ผ่อนชำระมาทำสัญญากู้ร่วม เพื่อให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบตามจริงในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งช่วยให้ผู้กู้มีโอกาสได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นและมีภาระการผ่อนที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้
ดังนั้น การรักษาอัตราส่วน DSR ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณไม่เกิน 40-50% ของรายได้) จะช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อง่ายขึ้น และที่สำคัญคือช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีภาระหนี้เกินตัวจนกระทบต่อคุณภาพชีวิต

เงินดาวน์บ้านคืออะไร? และควรวางดาวน์เท่าไหร่?
เงินดาวน์บ้าน คือ เงินก้อนที่ผู้ซื้อต้องจ่ายให้กับเจ้าของบ้านหรือโครงการก่อนทำสัญญากู้สินเชื่อกับธนาคาร เพื่อเป็นหลักประกันและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขาย โดยทั่วไปเงินดาวน์จะอยู่ที่ 5-30% ของราคาบ้าน ซึ่งจะถูกนำไปหักกับมูลค่าบ้านทั้งหมด ทำให้ยอดกู้ลดลง ช่วยประหยัดดอกเบี้ย และเพิ่มโอกาสให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วมากขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับที่อยู่อาศัยไว้ดังนี้:
สำหรับที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท:
- สัญญาที่ 1: กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน และกู้เพิ่มได้อีก 10% สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าอยู่อาศัย เช่น เฟอร์นิเจอร์ การตกแต่งบ้าน
- สัญญาที่ 2: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10% หากผ่อนสัญญาที่ 1 มาแล้วมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ปี และ 20% หากผ่อนสัญญาที่ 1 น้อยกว่า 2 ปี
- สัญญาที่ 3 ขึ้นไป: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 30%
สำหรับที่อยู่อาศัยราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป:
- สัญญาที่ 1: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10%
- สัญญาที่ 2: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 20%
- สัญญาที่ 3 ขึ้นไป: ต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 30%
การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่สูงกว่าที่กำหนด เช่น 20-30% จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระและประหยัดดอกเบี้ยได้มาก เนื่องจากยอดเงินกู้ลดลง ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าด้วย เนื่องจากความเสี่ยงของธนาคารลดลง

มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้น?
การผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้:
1. ชำระเกินกว่ายอดที่กำหนดทุกงวด
วิธีนี้ช่วยลดเงินต้นได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงตามไปด้วย เพราะสินเชื่อบ้านส่วนใหญ่เป็นแบบลดต้นลดดอก คุณอาจเริ่มจากการเพิ่มยอดชำระ 10-20% ของค่างวดปกติ เช่น จากเดิมผ่อนเดือนละ 10,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 12,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งนี้ อย่าลืมแจ้งธนาคารให้นำเงินส่วนที่เกินไปหักเงินต้น ไม่เช่นนั้นระบบอาจตัดเป็นการชำระล่วงหน้าแทน
2. ชำระเพิ่ม 1 งวดปีละครั้ง
เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นก้อนเสริมจากการทำงานพิเศษหรือได้รับโบนัสประจำปี โดยนำเงินก้อนนั้นมาชำระเพิ่มเท่ากับหนึ่งงวด เช่น จากปกติผ่อนเดือนละ 10,000 บาท เมื่อได้รับโบนัสอาจนำมาชำระเพิ่มอีก 10,000 บาท เสมือนการชำระล่วงหน้า 1 งวด ช่วยลดเงินต้น และย่นระยะเวลาชำระไป 1 เดือน
3. โปะเพิ่มในช่วงดอกเบี้ยต่ำ
ในช่วง 3-5 ปีแรกของการผ่อนบ้าน สถาบันการเงินมักให้โปรโมชันดอกเบี้ยคงที่ในอัตราต่ำ การโปะเงินในช่วงนี้จะช่วยลดเงินต้นได้มาก และมีผลต่อการลดดอกเบี้ยในระยะยาว เพราะเมื่อดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในปีถัดไป ฐานเงินต้นของคุณก็จะลดลงไปแล้ว
4. ชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ
การชำระหนี้ตรงเวลาไม่เพียงช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัดชำระ แต่ยังช่วยสร้างประวัติเครดิตที่ดี ทำให้มีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้นเมื่อต้องการรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่นในอนาคต ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดระยะเวลาการผ่อนได้
5. ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
หลังจากผ่อนบ้านไปได้ระยะหนึ่ง (ประมาณ 3 ปีขึ้นไป) คุณอาจพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่น เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับโปะเงินต้น และลดระยะเวลาการผ่อนให้สั้นลง
จากการศึกษาพบว่า หากใช้วิธีผ่อนเพิ่ม 50% จากค่างวดปกติ อาจช่วยลดระยะเวลาผ่อนจาก 30 ปี เหลือเพียงประมาณ 14-15 ปีได้ หรือหากรีไฟแนนซ์ไปยังสถาบันการเงินที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม 2-3% จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้ถึง 5-10 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงินและยอดเงินกู้คงเหลือ

รีไฟแนนซ์และรีเทนชั่นต่างกันอย่างไร? แบบไหนช่วยประหยัดได้มากกว่ากัน?
รีไฟแนนซ์และรีเทนชั่นเป็นสองวิธีที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและย่นระยะเวลาการผ่อนบ้านให้สั้นลงได้ แต่มีความแตกต่างกันดังนี้:
รีไฟแนนซ์ (Refinance)
คือ การย้ายหนี้บ้านจากสถาบันการเงินเดิมไปยังสถาบันการเงินใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า พูดง่ายๆ คือการกู้เงินจากที่ใหม่เพื่อไปปิดหนี้ที่เก่า แล้วผ่อนชำระกับสถาบันการเงินใหม่แทน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านมาแล้วระยะหนึ่ง (ประมาณ 3-5 ปี) และพบว่าดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น หรือมีสถาบันการเงินอื่นเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์คือ มักได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีแรก ซึ่งสถาบันการเงินมักเสนอโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม มีค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณา เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ ค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนจากสถาบันการเงินเดิม ดังนั้น ควรรีไฟแนนซ์เมื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าเดิมอย่างน้อย 2-3% เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
รีเทนชั่น (Retention)
คือ การขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิมที่กู้อยู่ โดยไม่ต้องย้ายไปที่อื่น สามารถทำได้หลังจากผ่อนชำระมาแล้วประมาณ 3 ปี และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี ข้อดีของวิธีนี้คือ กระบวนการไม่ยุ่งยาก ใช้เอกสารน้อย และไม่มีค่าใช้จ่ายในการจดจำนองใหม่ เพียงแค่นำสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และสัญญาเงินกู้ไปติดต่อกับสถาบันการเงินเดิม
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการรีเทนชั่นมักจะลดลงไม่มากเท่ากับการรีไฟแนนซ์ และอาจมีค่าธรรมเนียมประมาณ 1-2% ของวงเงินกู้ แต่ก็ยังถือว่าคุ้มค่ากว่าการรีไฟแนนซ์ในกรณีที่ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองวิธี รีไฟแนนซ์ มักจะช่วยประหยัดได้มากกว่าในระยะยาว หากได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก แต่มีค่าใช้จ่ายแรกเริ่มสูงและขั้นตอนยุ่งยาก ในขณะที่ รีเทนชั่น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายมาก โดยยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะลดลงไม่มากเท่ารีไฟแนนซ์

ผ่อนบ้านไปกี่ปีถึงขายต่อได้ และต้องทำอย่างไรบ้าง?
หลายคนอาจสงสัยว่าหากต้องการขายบ้านที่กำลังผ่อนอยู่ จะต้องผ่อนไปนานแค่ไหนถึงจะขายได้ คำตอบคือ คุณสามารถขายบ้านได้ตั้งแต่วันที่คุณเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ผ่อนครบตามสัญญา แต่มีข้อควรคำนึงบางประการที่ต้องพิจารณา
สิ่งที่ควรรู้ก่อนขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมด คือ หากคุณมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปีในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ คุณจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาขาย ดังนั้น หากไม่เร่งรีบ การถือครองบ้านอย่างน้อย 1 ปีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้
ขั้นตอนการขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดมีดังนี้:
- หาผู้ซื้อ – คุณสามารถขายเองหรือผ่านนายหน้าก็ได้ การขายผ่านนายหน้าจะสะดวกกว่า แต่ต้องเสียค่านายหน้าประมาณ 3% ของราคาขาย
- แจ้งธนาคารเพื่อไถ่ถอน – เมื่อได้ผู้ซื้อแล้ว ให้ติดต่อสถาบันการเงินที่คุณกำลังผ่อนบ้านอยู่ เพื่อขอทราบยอดหนี้คงเหลือและขั้นตอนการไถ่ถอนจำนอง ซึ่งจะประกอบด้วยเงินต้นคงเหลือ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมการไถ่ถอน
- ตกลงเรื่องการชำระเงิน – หากผู้ซื้อชำระด้วยเงินสด ก็จะนำเงินไปชำระให้ธนาคารโดยตรงในวันโอนกรรมสิทธิ์ แต่หากผู้ซื้อต้องการกู้ ธนาคารของผู้ซื้อจะเป็นผู้ออกแคชเชียร์เช็คเพื่อชำระหนี้ให้กับธนาคารของคุณ
- นัดโอนกรรมสิทธิ์ – ในวันโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อ และตัวแทนจากสถาบันการเงินทั้งสองฝ่าย (กรณีผู้ซื้อกู้) จะต้องไปที่กรมที่ดินพร้อมกัน เพื่อทำการไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อ
- รับเงินส่วนต่าง – หลังจากหักยอดหนี้คงเหลือและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว คุณจะได้รับเงินส่วนต่าง ซึ่งคือกำไรจากการขายบ้าน
เวลาที่เหมาะสมในการขายบ้านเพื่อสร้างผลกำไรมักจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ปีหลังจากซื้อ เนื่องจากเป็นช่วงที่มูลค่าบ้านมักเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ยอดหนี้คงเหลือลดลงไปพอสมควรแล้ว ทำให้มีกำไรจากการขายมากขึ้น
สรุป
การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันที่น่าภาคภูมิใจ แต่ภาระผ่อนบ้านระยะยาวก็เป็นสิ่งที่หลายคนต้องการลดให้สั้นลง การผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นไม่เพียงช่วยประหยัดดอกเบี้ยจำนวนมาก แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชำระเกินทุกงวด การโปะเพิ่มเมื่อมีเงินก้อน การรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่น ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบและมีวินัยในการชำระหนี้จะช่วยให้คุณสามารถปลดภาระหนี้บ้านได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือสำหรับการลงทุนหรือการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในชีวิต
#สาระ #การเงิน #วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว #ลดต้นลดดอก #รีไฟแนนซ์บ้าน #รีเทนชั่นบ้าน #เงินดาวน์บ้าน #อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ #DSR #วางแผนการเงิน #ปลดหนี้บ้าน #ชำระหนี้ก่อนกำหนด