ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์…คำพูดติดปากของชาวออฟฟิศที่บ่งบอกถึงความคิดและวิถีชีวิตการทำงานว่าไม่อยากพาตัวเองไปพบเจอกับเรื่องวุ่น ๆ จากการเดินทาง และสถานการณ์ในออฟฟิศในวันแรกของสัปดาห์ที่มีปริมาณงานให้เคลียร์อยู่เต็มโต๊ะ Future of Work โลกการทำงานยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่จัดสถานที่ทำงานดีไซน์สวยเท่านั้น แต่ยังต้องมีองค์ประกอบอีกมากที่จะดึงดูดให้กลุ่มคนวัยทำงาน Generation Z หรือคนที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา เลือกที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์กร
Hybrid Work
การทำงานแบบผสมผสานระหว่างการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ กับทำงานที่บ้าน อาจจะเป็นสัดส่วนการใช้เวลา 3 วันในออฟฟิศ แล้วอีก 2 วันทำงานนอกสถานที่ แบบนี้จะทำสร้างพื้นที่แห่งความยืดหยุ่นในการทำงาน โดยสามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าการทำงานในรูปแบบเดิม ๆ นั่งประจำโต๊ะที่เรียงกันแน่นจนเต็มพื้นที่ ทัศนคติและมุมมองการทำงานในลักษณะนี้ได้รับการตอบรับจากชาว Gen Z มากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิด-19 เป็นต้นมา เห็นได้จากเงื่อนไขบน LinkedIn เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่จะระบุว่า “Flexibility” เพื่อแสดงถึงความต้องการสมัครงาน และเข้าทำงานใน Workplace ที่มีความยืดหยุ่นสูง
วัฒนธรรมการทำงาน
การทำงานระหว่างหัวหน้าและผู้ร่วมงานที่เปิดกว้างรับฟังมุมมองและข้อเสนอแนะระหว่างกันเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจร่วมงาน และพร้อมจะโบกมือลาได้เหมือนกันหากองค์กรนั้นเต็มไปด้วยระบบเส้นสายอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นการปิดกั้นคนที่มีความรู้ความสามารถให้เติบโตในสายอาชีพของตัวเอง
Gig Economy
องค์กรที่สามารถออกแบบระบบการทำงานที่หลากหลายรองรับตำแหน่งงานที่ต้องการคนมีทักษะสูง เช่น การจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล, AI (Artificial intelligence) จะสร้างความได้เปรียบและดึงดูดคนเก่งเข้าร่วมงานได้มากกว่า ซึ่งข้อมูลจาก Mastercard บอกด้วยว่า Gig Economy ทั่วโลกจะเติบโตจากประมาณ 204,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 7 ล้านล้านบาท) ในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 455,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 16 ล้านล้านบาท ในปี 2023 ทำให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ที่ทำงานในรูปแบบนี้จะขยายตัวอีกมากในอนาคต
Happy Work, Happy Life
ความต้องการของคนทำงานรุ่นใหม่จะมองหางานที่นอกจากจะสร้างความมั่นคงทางด้านการเงินแล้วยังต้องสมดุลในการใช้ชีวิตได้ด้วย งานดี ก้าวหน้า แต่ถ้าหนักจนเกินไปจะเป็นการปิดกั้นคนเก่งหน้าใหม่เลือกที่จะไม่เดินเข้าไปร่วมงานด้วย ในประเด็นเดียวกันนี้ทาง FutureTales LAB by MQDC บอกด้วยว่า การเปิดกว้างให้พนักงานได้ตัดสินใจเลือกเวลาเข้าและออกงานได้จะเพิ่มความน่าสนใจขององค์กรนั้น ๆ ในสายตาคนรุ่นใหม่ และที่ห้ามขาดเลยก็คือ การเพิ่มสวัสดิการต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว เช่น กิจกรรมโยคะ ปั่นจักรยาน เป็นต้น
ความเสมอภาคและเท่าเทียม
โลกของการทำงานยุคใหม่นอกจากจะไร้ขอบเขตในการทำงาน เช่น ออฟฟิศใหญ่อยู่อีกประเทศ สามารถประชุมทางการและสั่งการงานไปยังสาขาที่กระจายอยู่ทั่วโลกแล้ว ยังเป็นการทำงานท่ามกลางผู้คนหลากหลาย ทั้งต่างประเทศ และผู้คนทุกเพศทุกวัย ดังนั้น Workplace ที่ให้น้ำหนักกับความเสมอภาคและความเท่าเทียมได้ดีจะได้รับการยอมรับจาก Worker คนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะร่วมงานทำงานอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่มีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
อนาคตของการทำงานจะเป็นอย่างไร แต่ละองค์กรสามารถออกแบบได้เพื่อให้รับกับความต้องการของ Gen Z ที่เป็น Future of Work และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูล
- futuretaleslab.com
- truevirtualworld.com