The Palm (copy)

จะเตรียมตัวอย่างไรให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้านวงเงินสูง? 8 เทคนิคที่คุณต้องรู้ก่อนยื่นกู้

การเป็นเจ้าของบ้านเป็นความฝันของใครหลายคน แต่การเตรียมตัวเพื่อยื่นกู้สินเชื่อบ้านเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่เลือกบ้านที่ชอบและยื่นเรื่องขอกู้เท่านั้น บทความนี้รวบรวมเทคนิคสำคัญในการเตรียมตัวก่อนยื่นกู้ พร้อมวิธีคำนวณวงเงินกู้ที่เหมาะสมกับรายได้ของคุณ เพื่อให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้านอย่างราบรื่นและได้วงเงินสูงตามที่ต้องการ

รู้ก่อนกู้: วิธีคำนวณวงเงินสินเชื่อบ้านที่เหมาะกับคุณ

การประเมินความสามารถในการกู้ซื้อบ้านด้วยตัวเองเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ก่อนที่จะไปติดต่อสถาบันการเงิน ซึ่งช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้เหมาะสมและเลือกบ้านที่อยู่ในงบประมาณของตัวเอง มาดูวิธีคำนวณวงเงินกู้กันดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ประเมินรายได้ของตัวเอง

รายได้เป็นปัจจัยหลักที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาวงเงินกู้สูงสุดที่คุณสามารถขอได้ โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการเงินมักกำหนดให้ภาระผ่อนชำระต่อเดือนไม่ควรเกิน 40% ของรายได้สุทธิ

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • หากคุณมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน
  • ค่างวดผ่อนบ้านสูงสุดที่คุณสามารถรับภาระได้คือ 30,000 × 40% = 12,000 บาทต่อเดือน

ขั้นตอนที่ 2: นำภาระหนี้สินมาหักออก

หากคุณมีภาระหนี้อื่นๆ อยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถหรือผ่อนสินค้าต่างๆ สถาบันการเงินจะนำภาระหนี้เหล่านี้มาหักออกจากรายได้ เพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระที่แท้จริง

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน
  • มีภาระผ่อนรถ 6,000 บาทต่อเดือน
  • รายได้สุทธิหลังหักภาระหนี้ = 30,000 – 6,000 = 24,000 บาท
  • ค่างวดผ่อนบ้านสูงสุดที่สามารถรับภาระได้ = 24,000 × 40% = 9,600 บาทต่อเดือน

ขั้นตอนที่ 3: คำนวณวงเงินกู้สูงสุด

เมื่อทราบค่างวดสูงสุดที่สามารถผ่อนได้ต่อเดือนแล้ว คุณสามารถคำนวณวงเงินกู้สูงสุดโดยประมาณได้ วิธีคำนวณอย่างง่ายคือ นำค่างวดสูงสุดต่อเดือนคูณด้วย 150 (ตัวเลขนี้อาจแตกต่างกันไปตามอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน)

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • ค่างวดสูงสุดต่อเดือน 9,600 บาท
  • วงเงินกู้สูงสุดโดยประมาณ = 9,600 × 150 = 1,440,000 บาท

ตารางแสดงวงเงินกู้เฉลี่ยตามรายได้สุทธิ:

การคำนวณเบื้องต้นนี้เป็นเพียงการประมาณการ วงเงินกู้ที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับนโยบายและเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งอาจพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น อายุ อายุงาน และประวัติการชำระหนี้

รายได้เท่าไหร่กู้ซื้อบ้านได้? เกณฑ์ที่สถาบันการเงินใช้พิจารณา

หลายคนสงสัยว่าต้องมีรายได้เท่าไหร่ถึงจะกู้ซื้อบ้านได้ คำตอบคือ ไม่มีเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ตายตัว แต่สถาบันการเงินมักประเมินจากความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งอิงจากสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR)

จากการศึกษาพบว่า โดยทั่วไปสถาบันการเงินจะกำหนดให้ภาระหนี้ทั้งหมดต่อเดือน (รวมค่าผ่อนบ้าน) ไม่ควรเกิน 40-50% ของรายได้ต่อเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ ปัจจัยที่สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณายังมี:

  1. ความมั่นคงของรายได้: อาชีพที่มีรายได้ประจำและมั่นคงจะได้รับการพิจารณาในเกณฑ์ที่ดีกว่า
  2. ระยะเวลาการทำงาน: สถาบันการเงินมักต้องการให้ผู้กู้มีประวัติการทำงานต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนถึง 2 ปี
  3. ประวัติการชำระหนี้: ประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติวงเงินสูง

การศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังพบว่า ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน มีโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโครงการสินเชื่อที่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ

8 เทคนิคเตรียมตัวอย่างไรให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อบ้านวงเงินสูง?

การเตรียมตัวก่อนยื่นขอสินเชื่อบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติวงเงินสูง นี่คือ 8 เทคนิคที่คุณควรรู้:

1. ประเมินสถานะทางการเงินให้ชัดเจน

ก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน คุณควรสำรวจสถานะทางการเงินของตัวเอง โดยพิจารณาทั้งรายได้ รายจ่าย และภาระหนี้สินที่มีอยู่ การประเมินอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณรู้วงเงินกู้ที่เหมาะสมและไม่สร้างภาระทางการเงินในอนาคต

ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมทางการเงินพบว่า ผู้ที่มีการวางแผนการเงินที่ดีก่อนซื้อบ้าน มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่าถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้วางแผน

2. รักษาประวัติการเดินบัญชีให้ดูดี

สถาบันการเงินจะขอดูรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ดังนั้น คุณควรรักษาประวัติการเดินบัญชีให้มีความสม่ำเสมอ มีเงินเข้าบัญชีประจำและมีเงินเหลือในบัญชีอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการถอนเงินออกจนหมดบัญชี

คำแนะนำสำหรับการเดินบัญชีที่ดี:

  • มีเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
  • พยายามรักษาเงินในบัญชีให้อยู่ในระดับคงที่ไม่น้อยกว่า 20% ของรายได้
  • หากมีรายได้เสริม ควรนำเข้าบัญชีเดียวกันกับบัญชีหลักเพื่อแสดงรายได้รวม

3. เตรียมเงินออมสำรองให้เพียงพอ

การมีเงินออมสำรองไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณมีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านที่นอกเหนือจากค่าผ่อน แต่ยังแสดงให้สถาบันการเงินเห็นถึงวินัยทางการเงินของคุณด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำให้มีเงินออมประมาณ 10-20% ของราคาบ้าน เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น:

  • ค่าจองและทำสัญญา
  • ค่าโอนกรรมสิทธิ์
  • ค่าประเมินราคาบ้าน
  • ค่าเบี้ยประกันภัยบ้าน
  • ค่าจดจำนอง
  • เงินดาวน์ (กรณีที่ไม่ได้กู้เต็มจำนวน)

4. รักษาเครดิตทางการเงินให้ดี

เครดิตทางการเงินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ การมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านและได้วงเงินสูง

วิธีรักษาเครดิตทางการเงินให้ดี:

  • ชำระค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวนและตรงเวลาทุกเดือน
  • หลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำหรือจ่ายเกินกำหนด
  • ไม่ควรมีบัตรเครดิตมากเกินไป (2-3 ใบเพียงพอ)
  • ปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้งาน

จากข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตพบว่า คนที่มีคะแนนเครดิตอยู่ในเกณฑ์ดีมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านสูงกว่า 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มีคะแนนเครดิตต่ำ

5. จัดการและลดภาระหนี้สินที่มีอยู่

หนี้สินที่มีอยู่จะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการกู้ยืมของคุณ สถาบันการเงินจะนำภาระหนี้มาคำนวณรวมกับรายได้เพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ ยิ่งมีหนี้สินมาก วงเงินกู้บ้านที่ได้รับก็จะยิ่งน้อยลง

คำแนะนำในการจัดการหนี้สิน:

  • พยายามชำระหนี้ระยะสั้นให้หมดก่อนยื่นกู้บ้าน
  • หากเป็นไปได้ ปิดสัญญาผ่อนสินค้าต่างๆ ให้หมด
  • รวมหนี้ (Debt Consolidation) เพื่อลดจำนวนหนี้และค่าผ่อนรายเดือน

6. หลีกเลี่ยงการค้างชำระใดๆ

ประวัติการค้างชำระหนี้สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการขอสินเชื่อบ้าน สถาบันการเงินจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง 3 ปี ผ่านบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ซึ่งการมีประวัติค้างชำระอาจทำให้การขอสินเชื่อถูกปฏิเสธหรือได้รับวงเงินน้อยลง

จากสถิติพบว่า การค้างชำระเพียง 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนก่อนยื่นกู้ อาจลดโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อลงถึง 40%

7. เลี่ยงการผ่อนสินค้าช่วงก่อนยื่นกู้

หากคุณมีแผนจะซื้อบ้านในเร็วๆ นี้ ควรหลีกเลี่ยงการผ่อนสินค้าใหม่ แม้จะเป็นโปรโมชัน 0% ก็ตาม เนื่องจากจะถูกนับเป็นภาระหนี้และส่งผลให้วงเงินกู้บ้านที่ได้รับลดลง

การวิจัยพบว่า การเริ่มผ่อนสินค้าใหม่ในช่วง 3-6 เดือนก่อนยื่นกู้บ้าน สามารถลดวงเงินกู้ที่ได้รับลงได้ถึง 15-20% ขึ้นอยู่กับมูลค่าการผ่อนสินค้านั้นๆ

8. จัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและเป็นระเบียบ

การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและเป็นระเบียบจะช่วยให้กระบวนการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม ได้แก่:

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สำเนาเอกสารแสดงสถานภาพ (โสด/สมรส/หย่าร้าง)
  • หนังสือรับรองเงินเดือน
  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
  • เอกสารแสดงรายได้อื่นๆ (ถ้ามี)
  • ข้อมูลโครงการบ้านที่ต้องการซื้อ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อแนะนำให้จัดเตรียมเอกสารล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนก่อนยื่นขอสินเชื่อ และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทุกฉบับ

ขั้นตอนการยื่นขอสินเชื่อบ้านมีอะไรบ้าง? ทำความเข้าใจก่อนเริ่มกระบวนการ

การเข้าใจขั้นตอนการยื่นขอสินเชื่อบ้านจะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้อย่างถูกต้องและมีความมั่นใจมากขึ้น โดยทั่วไป กระบวนการยื่นขอสินเชื่อบ้านมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

1. เปรียบเทียบและเลือกสถาบันการเงิน

สถาบันการเงินแต่ละแห่งมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่แตกต่างกัน ทั้งอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ และโปรโมชันต่างๆ คุณควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายแห่งก่อนตัดสินใจ

ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกสถาบันการเงิน:

  • อัตราดอกเบี้ย (ทั้งช่วงโปรโมชันและอัตราปกติ)
  • ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • เงื่อนไขการชำระเงินก่อนกำหนด
  • บริการหลังการขาย

2. จัดเตรียมและยื่นเอกสาร

หลังจากเลือกสถาบันการเงินแล้ว คุณต้องจัดเตรียมเอกสารตามที่กล่าวไว้ในเทคนิคข้อที่ 8 และยื่นให้กับสถาบันการเงินเพื่อพิจารณา

ข้อควรระวัง:

  • ตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของเอกสารทุกฉบับ
  • เตรียมเอกสารสำรองไว้ 1 ชุดเผื่อกรณีฉุกเฉิน
  • ตอบคำถามเจ้าหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปกปิดข้อมูลสำคัญ

3. รอผลการพิจารณาสินเชื่อ

หลังจากยื่นเอกสารแล้ว สถาบันการเงินจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3-7 วันทำการ (บางกรณีอาจใช้เวลามากกว่านี้) โดยจะตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น:

  • ประวัติเครดิตบูโร
  • ความสามารถในการชำระหนี้
  • ความมั่นคงของรายได้
  • การประเมินราคาหลักประกัน (บ้านที่จะซื้อ)

4. ทำสัญญาเงินกู้และจดจำนอง

เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว คุณจะต้องทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน พร้อมทั้งจดจำนองบ้านเป็นหลักประกัน โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียม ได้แก่:

  • ค่าอากรแสตมป์
  • ค่าจดจำนอง (ประมาณ 1% ของวงเงินกู้)
  • ค่าประเมินหลักประกัน
  • ค่าเบี้ยประกัน

5. รับเงินกู้และโอนกรรมสิทธิ์

ขั้นตอนสุดท้ายคือการรับเงินกู้และโอนกรรมสิทธิ์บ้าน โดยทั่วไป สถาบันการเงินจะโอนเงินกู้ให้กับผู้ขายโดยตรง ในวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน

จากการสำรวจพบว่า ระยะเวลาตั้งแต่ยื่นเอกสารจนถึงได้รับกรรมสิทธิ์บ้านใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 30-45 วัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารและกระบวนการของแต่ละสถาบันการเงิน

3 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกซื้อบ้าน ให้คุ้มค่ากับการลงทุน

การเลือกบ้านที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้คุณมีความสุขกับการอยู่อาศัย แต่ยังเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ควรพิจารณา:

1. ราคาบ้านต้องสอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนชำระ

ราคาบ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรเลือกบ้านที่มีราคาสอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนชำระ โดยค่าผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้ต่อเดือน

ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์แนะนำให้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากซื้อบ้านด้วย เช่น:

  • ค่าส่วนกลาง (กรณีหมู่บ้านจัดสรร)
  • ค่าสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต)
  • ค่าบำรุงรักษาบ้าน
  • ค่าเดินทาง (หากบ้านอยู่ไกลจากที่ทำงาน)

2. ทำเลที่ตั้งต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำเลที่ตั้งของบ้านมีผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและมูลค่าของบ้านในอนาคต บ้านที่ตั้งอยู่ในทำเลดี การเดินทางสะดวก และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว

การศึกษาจากสถาบันวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์พบว่า บ้านที่อยู่ในรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้ามีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสูงกว่าบ้านทั่วไปถึง 15-20% ในระยะเวลา 5 ปี

ปัจจัยด้านทำเลที่ควรพิจารณา:

  • การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ
  • ระยะทางจากที่ทำงานหรือสถานศึกษา
  • สิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียง (ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล)
  • แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต
  • สภาพแวดล้อมและความปลอดภัย

3. รูปแบบบ้านต้องเหมาะกับไลฟ์สไตล์และขนาดครอบครัว

แต่ละครอบครัวมีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกัน การเลือกรูปแบบบ้านที่เหมาะสมจะทำให้การอยู่อาศัยมีความสุขและคุ้มค่าในระยะยาว

ประเภทบ้านกับไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม:

  • คอนโดมิเนียม: เหมาะสำหรับคนโสดหรือครอบครัวเล็กที่ต้องการความสะดวกในการเดินทาง ใกล้แหล่งงาน และไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรักษาบ้าน
  • ทาวน์โฮม/ทาวน์เฮ้าส์: เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กถึงกลาง ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ยังต้องการทำเลที่ไม่ไกลจากเมืองมากนัก
  • บ้านเดี่ยว: เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ ต้องการความเป็นส่วนตัวและพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง
  • โฮมออฟฟิศ: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่สำหรับประกอบธุรกิจและที่อยู่อาศัยในที่เดียวกัน

การเลือกรูปแบบบ้านที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย

สรุป

การซื้อบ้านเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การประเมินความสามารถทางการเงินของตนเองอย่างถูกต้อง และการเตรียมตัวก่อนยื่นขอสินเชื่อ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านและได้วงเงินตามที่ต้องการ

8 เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น ตั้งแต่การประเมินสถานะทางการเงิน การรักษาประวัติการเดินบัญชีให้ดี การมีเงินออมสำรอง การรักษาเครดิตทางการเงิน การจัดการหนี้สิน การหลีกเลี่ยงการค้างชำระ การเลี่ยงการผ่อนสินค้าก่อนยื่นกู้ และการจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การยื่นขอสินเชื่อบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น

นอกจากนี้ การเลือกบ้านที่เหมาะสมกับความสามารถทางการเงิน ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และมีรูปแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ จะช่วยให้การเป็นเจ้าของบ้านเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสร้างความสุขในระยะยาว

เมื่อคุณเตรียมพร้อมทุกด้านแล้ว ความฝันในการมีบ้านหลังแรกหรือการเปลี่ยนบ้านใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็จะไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป


#สาระ #การเงิน #สินเชื่อบ้าน #กู้ซื้อบ้าน #เงินดาวน์บ้าน #วางแผนการเงิน #เครดิตบูโร #อสังหาริมทรัพย์ #ธนาคาร #วงเงินสินเชื่อ #ค่างวดบ้าน #จำนอง

อ่านเพิ่ม

หมายเหตุ ข้อจำกัดความรับผิดชอบ : บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ Homeday โดย บริษัท โฮมเดย์ กรุ๊ป จำกัด เท่านั้น บริษัทไม่สามารถให้คำมั่นหรือคำรับประกันเกี่ยวกับเนื้อหา รวมถึงไม่สามารถรับรองความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์เฉพาะใดๆ ตามขอบเขตของกฎหมาย เราจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่ปรากฏในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วนสมบูรณ์ ณ เวลาที่จัดทำ ข้อมูลดังกล่าวไม่ควรนำไปใช้ในการพิจารณาตัดสินใจด้านการเงิน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือประเด็นกฎหมายโดยทันที ผู้อ่านไม่ควรอาศัยข้อมูลในบทความนี้แทนคำแนะนำจากผู้ชำนาญการที่ได้รับการฝึกฝนซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและสภาวะเฉพาะของท่านได้ ทั้งนี้ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆ หากท่านเลือกที่จะนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจของท่าน

The Palm (copy)
Sidebar
บทความล่าสุด
ทำไมต้องแต่งห้องนอนให้สวย? 7 วิธีเปลี่ยนห้องนอนธรรมดาให้น่าพักผ่อนและมีสไตล์
แต่งบ้าน
มหาเศรษฐีนักธุรกิจระดับโลก Allan Zeman พลิกบทบาทไลฟ์สไตล์ภูเก็ต เปิดเกมรุกเขย่าตลาดอสังหาฯ
ข่าวสาร
แสนสิริเปิดตัว “WIDEN by Sansiri” (ไวด์เด็น บาย แสนสิริ) มูลค่าโครงการ 3,100 ลบ. Hidden Gem กลางเมือง บนทำเลที่ดินหายาก Rare Location “นางลิ้นจี่” คอนโดฯ ห้องใหญ่ เป็นส่วนตัว วิวโค้งน้ำบางกระเจ้า เลี้ยงสัตว์ได้ ที่จอดรถ 105 % เริ่ม 8.9 – 49.9 ล้าน*
ข่าวสาร
‘OCC’ ขึ้นแท่นฮับออฟฟิศใหม่แห่งเอเชีย ล่าสุดดึง ‘KEX’ เช่าพื้นที่ ตอกย้ำศักยภาพอาคารสำนักงานเกรด A+ ที่องค์กรระดับโลกไว้วางใจ
ข่าวสาร
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัว ดิ เอสเตท สมุย โครงการบ้านพักตากอากาศระดับอัลตราลักซ์ชูรี เผยความต้องการอสังหาริมทรัพย์หรูพุ่งต่อเนื่อง ตอบรับกระแสซีรีส์ The White Lotus
ข่าวสาร
รีวิวโครงการ
รีวิว เดอะ ซิกเนเจอร์ สุขุมวิท 77 (The Signature Sukhumvit 77) บ้านหรูระดับ Super Luxury บททำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง
Review
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
Loading..