KAVE playground

ปลูกผักคะน้าในบ้านอย่างไร? คู่มือเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ปลูกผักสวนครัวสู่ความสำเร็จ

การปลูกผักคะน้าไว้รับประทานเองที่บ้านกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนรักสุขภาพและผู้ที่ต้องการผักสวนครัวปลอดสารพิษ คะน้าเป็นผักที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตได้ตลอดปี ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นปลูกผัก นอกจากจะได้ผักสดใหม่ปราศจากสารเคมีแล้ว คะน้ายังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย การศึกษาวิธีการปลูกและดูแลคะน้าอย่างถูกต้องจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการปลูกผักสวนครัวที่บ้าน

ผักคะน้าคืออะไรและทำไมถึงนิยมปลูกในบ้าน?

ผักคะน้า หรือที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Brassica Oleracea Var alboglabra เป็นผักใบเขียวในวงศ์กะหล่ำ (Cruciferac) ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชีย1 คะน้าเป็นผักที่รับประทานได้ทั้งใบและก้าน ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ความนิยมของการปลูกคะน้าในบ้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นการผัด ยำ หรือใส่ในข้าวผัด

คะน้าได้รับความนิยมในการปลูกที่บ้านเพราะเป็นพืชที่เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย และดินเหนียวปนดินร่วน1 ความสามารถในการปรับตัวที่ดีของคะน้าทำให้เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นกระถางหรือแปลงเล็กๆ ในบ้าน นอกจากนี้คะน้ายังเป็นผักที่ปลูกได้ตลอดปี แม้จะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน

ข้อดีอีกประการหนึ่งของการปลูกคะน้าคือระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่รวดเร็ว โดยสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 45-55 วันหลังปลูก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น การที่คะน้าให้ผลผลิตเร็วนี้ทำให้ผู้ปลูกได้รับความพึงพอใจและแรงบันดาลใจในการปลูกผักอย่างต่อเนื่อง ความง่ายในการดูแลและผลตอบแทนที่รวดเร็วจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คะน้าเป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้เริ่มต้นปลูกผักสวนครัวที่บ้าน

สายพันธุ์คะน้าแบบไหนที่เหมาะสำหรับการปลูกในบ้าน?

สายพันธุ์คะน้าที่นิยมปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคะน้าจีนที่ได้รับการนำเข้าเมล็ดพันธุ์มาปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของไทย1 โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 พันธุ์หลักที่แต่ละพันธุ์มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการปลูกคะน้าให้ประสบความสำเร็จ

พันธุ์ใบกลมเป็นสายพันธุ์ที่มีลักษณะใบกว้างใหญ่ ปล้องสั้น ปลายใบมนและผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย1 ข้อดีของพันธุ์นี้คือความทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นปลูกหรือพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมไม่ค่อยเอื้ออำนวย ตัวอย่างสายพันธุ์ที่นิยมได้แก่ พันธุ์ฝางเบอร์ 1 และฝางเบอร์ 2 พันธุ์นี้เหมาะสำหรับการปลูกในกระถางหรือแปลงเล็กเนื่องจากใบใหญ่ทำให้ได้ผลผลิตมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ใช้

พันธุ์ใบแหลมมีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์ใบกลม โดยมีใบแคบกว่า ปลายใบแหลม ข้อห่าง และผิวใบเรียบ1 สายพันธุ์ที่นิยมของกลุ่มนี้ได้แก่ พันธุ์ P.L.20 ข้อดีของพันธุ์นี้คือลักษณะการเจริญเติบโตที่เป็นระเบียบ ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกเป็นแถวในแปลงผัก รูปทรงของใบที่แหลมและเรียบทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและเตรียมอาหาร นอกจากนี้พันธุ์ใบแหลมยังมีความสวยงามเมื่อปลูกเป็นผักประดับในสวน

พันธุ์ยอดหรือก้านเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะคะน้าฮ่องกงที่ถูกใจคนชอบกินก้าน พันธุ์นี้มีลักษณะใบเหมือนกับคะน้าใบแหลม แต่จำนวนใบต่อต้นมีน้อยกว่าและปล้องยาวกว่า ตัวอย่างสายพันธุ์ที่นิยมคือ พันธุ์แม่โจ้ 1 พันธุ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคะน้าสำหรับทำอาหารจานพิเศษหรือขายเชิงพาณิชย์ เนื่องจากก้านที่หนาและกรอบเป็นที่ต้องการของตลาด การเก็บเกี่ยวพันธุ์นี้ต้องใช้เทคนิคพิเศษและความรู้ในการตัดแต่งเพื่อให้ได้มาตรฐานเกรดที่เหมาะสม

ปลูกคะน้าในกระถางควรเริ่มต้นอย่างไร?

การปลูกคะน้าในกระถางเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือต้องการควบคุมสภาพแวดล้อมการปลูกอย่างใกล้ชิด ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือการเตรียมดินและกระถางให้เหมาะสม โดยเริ่มจากการใส่กาบมะพร้าวสับวางรองก้นกระถาง วัสดุรองก้นนี้จะช่วยระบายน้ำและป้องกันไม่ให้ดินอุดตันในรูระบายน้ำของกระถาง การระบายน้ำที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของคะน้าเนื่องจากรากของคะน้าไม่ชอบน้ำขัง

การผสมดินสำหรับปลูกคะน้าในกระถางต้องใช้อัตราส่วนที่เหมาะสม คือ ดินร่วน 2 ส่วน ต่อ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน หากไม่มีความสะดวกในการผสมดินเอง สามารถใช้ดินสำเร็จรูปแทนได้ อย่างไรก็ตาม การผสมดินเองจะให้ผลดีกว่าเนื่องจากสามารถควบคุมคุณภาพและองค์ประกอบของดินได้ดีกว่า ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจะช่วยให้ดินมีความร่วนซุย มีธาตุอาหารที่พืชต้องการ และช่วยเก็บรักษาความชื้นในดินได้ดี

เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้ว ให้ใส่ดินผสมลงไปในกระถางแบบไม่ต้องเต็มมาก เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการขยายตัวของรากและการรดน้ำ จากนั้นทำการหย่อนเมล็ดคะน้าลงไปในดิน โดยควรกระจายเมล็ดให้ห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร การหย่อนเมล็ดแบบกระจายจะทำให้ต้นกล้าไม่แออัดเกินไปในระยะแรก และสามารถเลือกต้นที่แข็งแรงที่สุดไว้เลี้ยงต่อไปได้ ต้นกล้าจะงอกขึ้นมาภายใน 7 วัน

การดูแลคะน้าในกระถางหลังปลูกต้องให้ความสำคัญกับการรดน้ำและการจัดวางตำแหน่ง ควรรดน้ำให้สม่ำเสมอทุกเช้าและเย็น โดยใช้เครื่องฉีดฝอยหรือบัวฝอยรดให้ทั่วและชุ่ม การรดน้ำด้วยเครื่องฉีดฝอยจะป้องกันไม่ให้น้ำกระแทกดินและเมล็ดกระจาย นอกจากนี้ควรวางกระถางไว้ในที่มีแสงแดดเพียงพอ แต่ไม่ร้อนจัดเกินไป สำหรับการใส่ปุ๋ยบำรุง ควรใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกทุก 2 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้คะน้าได้รับธาตุอาหารอย่างต่อเนื่องและเจริญเติบโตได้ดี

วิธีปลูกคะน้าในแปลงเล็กหรือสวนครัวมีขั้นตอนอะไรบ้าง?

การปลูกคะน้าในแปลงหรือสวนครัวต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และดินให้เหมาะสม ขั้นตอนแรกคือการกำจัดวัชพืชในแปลงให้หมดสิ้น จากนั้นใช้เครื่องมือไถพรวนดิน โดยพลิกหน้าดินไว้ตากแดดประมาณ 7-14 วัน การตากดินจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาจอยู่ในดิน รวมทั้งทำให้ดินมีความร่วนซุยมากขึ้น หลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 1 ตันต่อไร่ หรือ 1-2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แล้วไถพรวนอีกครั้งเพื่อให้ดินและปุ๋ยคลุกเคล้าเข้ากัน

สำหรับแปลงขนาดเล็กหรือสวนครัว มีวิธีการปลูกที่สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ แบบหว่านกระจายทั่วแปลง และแบบปลูกเป็นแถว วิธีแบบแถวเดียวเหมาะสำหรับแปลงขนาดเล็กมากกว่า โดยมีระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 20×20 เซนติเมตร1 หรือสำหรับคะน้าฮ่องกงอาจใช้ระยะ 15×15 เซนติเมตร การจัดระยะปลูกที่เหมาะสมจะทำให้แต่ละต้นได้รับแสงแดดและอากาศอย่างเพียงพอ ลดการแข่งขันในการดูดธาตุอาหาร และลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและแมลง

กระบวนการหว่านเมล็ดต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วทั้งผิวแปลงหรือตามแนวแถวที่กำหนด ให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร หลังจากหว่านเมล็ดแล้ว ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร การกลบเมล็ดมีจุดประสงค์เพื่อเก็บรักษาความชื้นและป้องกันเมล็ดถูกน้ำกระแทกกระจาย เสร็จแล้วให้คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ และรดน้ำให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอเช้า-เย็น

การดูแลในระยะแรกหลังหว่านเมล็ดเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เมล็ดจะงอกขึ้นมาประมาณ 7 วัน เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 20 วัน หรือต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร จะต้องเริ่มถอนแยกต้น โดยถอนต้นที่ไม่สมบูรณ์ออก และทิ้งระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อคะน้ามีอายุได้ประมาณ 30 วัน ต้องทำการถอนแยกครั้งที่ 2 ให้เหลือระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตร การถอนแยกในแต่ละครั้งควรกำจัดวัชพืชไปด้วยและใส่ปุ๋ยคอกเสริม2 เพื่อให้ต้นคะน้าเจริญเติบโตแข็งแรงและได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอ

ขอบคุณภาพจาก : kapook

ช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกคะน้า?

คะน้าเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดและให้ผลผลิตดีที่สุดคือระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน ช่วงเวลานี้ตรงกับฤดูหนาวและต้นฤดูร้อนของประเทศไทย ซึ่งมีอุณหภูมิที่ไม่สูงมากและมีความชื้นในอากาศที่เหมาะสม คะน้าเป็นพืชที่ไม่ค่อยทนความร้อนจัด5 ดังนั้นการปลูกในช่วงที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไปจะทำให้คะน้าเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ใบจะมีสีเขียวสด กรอบ และไม่ขม

ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นฤดูร้อนและฤดูฝน คะน้าก็สามารถปลูกได้เช่นกัน แต่อาจประสบปัญหาจากความร้อนจัดหรือฝนตกหนักที่ทำให้ดินแน่น ในช่วงฤดูร้อน คะน้าอาจมีการเจริญเติบโตที่ช้าลงและใบอาจมีรสขมมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการขาดน้ำหากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด1 ส่วนในช่วงฤดูฝน ปัญหาหลักคือน้ำฝนที่ตกหนักอาจทำให้ดินแน่นและระบายน้ำไม่ดี ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการพรวนดินเพื่อให้ดินร่วนและอากาศถ่ายเทได้ดี

การเลือกช่วงเวลาปลูกยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยด้านตลาดด้วย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกเพื่อขาย คะน้าอายุ 45 วันเป็นระยะที่ตลาดมีความต้องการมาก5 ในขณะที่คะน้าอายุ 50-55 วันเป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า5 การวางแผนการปลูกให้ตรงกับช่วงเวลาที่ตลาดต้องการจะช่วยให้ได้ราคาที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงที่คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันมาก เพราะอาจทำให้ราคาตกต่ำ

สำหรับการปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน การเลือกช่วงเวลาปลูกควรพิจารณาจากความต้องการในการใช้คะน้าของครอบครัว การปลูกแบบหมุนเวียน โดยหว่านเมล็ดใหม่ทุก 2-3 สัปดาห์จะทำให้มีคะน้าสดใหม่ใช้ตลอดเวลา วิธีนี้จะช่วยให้ไม่ต้องเก็บเกี่ยวพร้อมกันมากเกินไปและสามารถบริโภคคะน้าที่มีความสดใหม่อยู่เสมอ การวางแผนการปลูกแบบต่อเนื่องนี้เหมาะสำหรับครอบครัวที่บริโภคผักเป็นประจำและต้องการผักสวนครัวสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน

ขอบคุณภาพจาก : SGE

ดูแลคะน้าอย่างไรให้เจริญเติบโตได้ดี?

การดูแลคะน้าให้เจริญเติบโตได้ดีต้องเริ่มจากการเลือกชนิดดินที่เหมาะสม คะน้าเป็นพืชที่เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนดินร่วน ที่สำคัญคือดินต้องระบายน้ำได้ดีและน้ำไม่ขัง เนื่องจากรากของคะน้าไม่ชอบน้ำขังและอาจเน่าเสียได้หากอยู่ในสภาพที่มีน้ำมากเกินไป การเตรียมดินโดยการผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในอัตราส่วนที่เหมาะสมจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้นและเพิ่มธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

การให้น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดูแลคะน้า ควรรดน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอทุกเช้าและเย็น คะน้าต้องการน้ำอย่างเพียงพอเนื่องจากมีการเจริญเติบโตเร็ว2 สำหรับระบบน้ำหยด ควรปล่อยน้ำทุกวันครั้งละ 10-15 นาทีในช่วงเช้า ในช่วงฤดูฝน หากดินมีความชื้นสูง ควรงดการให้น้ำเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเน่า และควรพิจารณาให้น้ำตามความชื้นของดิน การรดน้ำด้วยเครื่องฉีดฝอยหรือบัวฝอยจะดีกว่าการรดด้วยสายยางหรือกระปุกขนาดใหญ่ เพราะจะไม่ทำให้ดินและเมล็ดกระจาย

การให้ปุ๋ยต้องทำอย่างเป็นระบบและตามช่วงเวลาที่เหมาะสม คะน้าต้องการปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เนื่องจากไนโตรเจนส่งเสริมให้พืชมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและใบมีสีเขียวสด สำหรับการปลูกในแปลง ควรเริ่มให้ปุ๋ยในวันที่ 5 หลังจากปลูก โดยในช่วง 7-10 วันหลังย้ายปลูก ใส่ปุ๋ย 46-0-0 หรือ 15-0-0 และในช่วง 15-20 วันหลังย้ายปลูก ใส่ปุ๋ย 46-0-0 + 15-15-15 ในอัตราส่วน 1:1 นอกจากนี้ควรพ่นฮอร์โมนหรือธาตุอาหารเสริมทางใบ 1-2 ครั้งสำหรับการปลูกในกระถาง การใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกทุก 2 สัปดาห์ต่อครั้งจะเพียงพอ

การจัดการวัชพืชและศัตรูพืชเป็นส่วนสำคัญของการดูแลคะน้า ต้องกำจัดวัชพืชในแปลงและบริเวณรอบๆ แปลงให้สะอาดอยู่เสมอ วัชพืชจะแย่งธาตุอาหาร น้ำ และแสงแดดจากคะน้า นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งสะสมของแมลงศัตรูพืช ควรหมั่นกำจัดวัชพืชและพรวนดินบ่อยๆ1 สำหรับศัตรูพืชที่สำคัญของคะน้า เช่น หนอนใยผัก สามารถใช้สารชีวภัณฑ์อย่างแบคเทียร์ (Bacillus thuringiensis) อัตราการใช้ 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ควรฉีดพ่นในช่วงตอนเย็นและหากมีการระบาดหนักให้ฉีดทุก 3-5 วัน การใช้สมุนไพรไทยเกอร์เฮิร์บควบคู่กันจะช่วยป้องกันการวางไข่ของผีเสื้อกลางคืน

ขอบคุณภาพจาก : Kasetbanna

เมื่อไหร่และอย่างไรควรเก็บเกี่ยวคะน้า?

การเก็บเกี่ยวคะน้าเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญซึ่งจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพและปริมาณผลผลิตที่ได้รับ คะน้าสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุประมาณ 45-55 วันหลังปลูก โดยคะน้าอายุ 45 วันเป็นระยะที่ตลาดมีความต้องการมาก ในขณะที่คะน้าอายุ 50-55 วันเป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า15 สำหรับคะน้าฮ่องกงที่ปลูกเพื่อการค้า อายุการเก็บเกี่ยวจะเร็วกว่าเล็กน้อย คือประมาณ 30-35 วันหลังย้ายปลูก การเลือกช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมจะทำให้ได้คะน้าที่มีคุณภาพดีและสามารถเก็บรักษาได้นาน

การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้าตรู่ก่อนที่แสงแดดจะแรง หรือเมื่อต้องการนำมารับประทานทันที ควรหลีกเลี่ยงการเก็บในช่วงที่แดดร้อนจัด เพราะคะน้าที่เก็บในช่วงแดดร้อนจะเหี่ยวเร็วและคุณภาพลดลง การเก็บในเวลาที่เหมาะสมจะทำให้คะน้ามีความสดใหม่ ใบมีสีเขียวสด และสามารถเก็บรักษาได้นานกว่า ขณะเก็บควรใช้มีดขนาดเล็กและคมตัด ไม่ควรเก็บด้วยการเด็ดด้วยมือเพราะอาจทำให้ลำต้นและใบช้ำได้ การใช้มีดตัดจะให้ผลผลิตที่สะอาดและลดความเสียหายต่อพืช

เทคนิคการตัดคะน้าต้องใช้มีดตัดชิดโคนต้น พร้อมเด็ดใบแก่ติดโคนต้นออก 1-2 ใบ การตัดชิดโคนจะทำให้ได้ผลผลิตที่สมบูรณ์และมีน้ำหนักมาก การเด็ดใบแก่ออกจะทำให้คะน้าดูสะอาดและน่ารับประทานมากขึ้น สำหรับคะน้าฮ่องกงที่ปลูกเพื่อการค้า มีดที่ใช้ต้องสะอาดและคม หมั่นจุ่มมีดในน้ำผสมคลอรีน ความเข้มข้น 200 ppm เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคจากต้นหนึ่งไปยังต้นอื่น มาตรฐานการเก็บเกี่ยวคะน้าฮ่องกงจะแบ่งเป็นเกรดต่างๆ ตามความยาวก้าน เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น และจำนวนใบ

การดูแลหลังการเก็บเกี่ยวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาคุณภาพของคะน้า เมื่อเก็บเสร็จควรรีบนำเข้าร่มหรือพักไว้ในที่โปร่งและเย็น ควรล้างคะน้าให้สะอาดก่อนเก็บบรรจุถุง หากต้องการเก็บรักษาคะน้าให้อยู่ได้นาน สามารถใช้วิธีห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วใช้พลาสติกแรปห่อทับอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นเก็บไว้ในตู้เย็น วิธีนี้สามารถเก็บคะน้าไว้ได้นานเป็นสัปดาห์โดยยังคงความสดใหม่ ไม่ควรเก็บในระยะที่คะน้าแก่หรือเริ่มออกดอก และเมื่อใกล้ฤดูเก็บเกี่ยว หากคะน้าเริ่มมีการระบาดของโรคหรือแมลง ควรรีบเก็บผลผลิตทันที

คะน้ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?

คะน้าเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยเฉพาะในด้านวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย คะน้าอุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย วิตามินซีในคะน้ามีส่วนช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นมากขึ้น และช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส นอกจากนี้คะน้ายังมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในด้านระบบประสาทตา ทำให้การบริโภคคะน้าเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้

สารลูทีน (Lutein) ที่พบในคะน้าเป็นสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของดวงตา โดยช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 29% นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตาได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นประจำหรือใช้สายตามาก การบริโภคคะน้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพดวงตา คะน้ายังมีแคลเซียมที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ทำให้เหมาะสำหรับเด็กในวัยเจริญเติบโตและผู้สูงอายุที่ต้องการบำรุงกระดูก

ด้านการบำรุงโลหิต คะน้ามีโฟเลตและธาตุเหล็กสูงที่ช่วยบำรุงเลือดและลดความเสี่ยงภาวะโลหิตจาง ธาตุเหล็กและธาตุโฟเลตในผักคะน้ามีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง การบริโภคคะน้าเป็นประจำจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางและเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบไหลเวียนเลือด คะน้ายังมีไฟเบอร์ที่ช่วยด้านการขับถ่าย1 ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยป้องกันโรคท้องผูก การรับประทานผักคะน้าเป็นประจำยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว เนื่องจากมีแร่ธาตุที่ช่วยรักษาสมดุลของกล้ามเนื้อ

คะน้ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด คะน้าช่วยรักษาโรคหอบหืดเพราะช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในหลอดลมและช่วยขยายหลอดลม คะน้ายังช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ โดยช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมเมื่อถูกโจมตีด้วยละอองเกสรหรือฝุ่น สำหรับสตรี คะน้าช่วยรักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยลดอาการหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวนในสตรีช่วงมีประจำเดือน

สรุป

การปลูกผักคะน้าในบ้านเป็นกิจกรรมที่ให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่ของการได้ผักสดใหม่ปลอดสารพิษสำหรับครอบครัว การประหยัดค่าใช้จ่าย และความพึงพอใจจากการปลูกพืชด้วยตนเอง คะน้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเนื่องจากปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตได้ตลอดปี การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม การเตรียมดินและกระถางอย่างถูกต้อง การให้น้ำและปุ๋ยตามช่วงเวลา รวมถึงการป้องกันศัตรูพืช เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสมและการเก็บรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้คะน้าคุณภาพดีสำหรับการบริโภค


#สาระ #ปลูกคะน้า #ผักสวนครัว #ปลูกผักในบ้าน #คะน้าในกระถาง #ผักปลอดสารพิษ #สวนครัว #ปลูกผักเอง #คะน้าฮ่องกง #ผักใบเขียว #เกษตรในบ้าน

อ่านเพิ่ม
The Palm (copy)
Sidebar
บทความล่าสุด
ไฮ มาร์ท ผนึกกำลัง Living Creator เกาหลี เปิดตัวเครื่องครัวพรีเมียม สู่ตลาดไทย พร้อมเดินหน้าขยายฐานผู้บริโภคด้วยแนวคิด “Bring Color to Your Life”
ข่าวสาร
อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ เซ็นสัญญา มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) เสริมแกร่งศักยภาพนิคม พร้อมพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร
ข่าวสาร
ชวนร่วมงาน InfoComm Asia 2025 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี Pro AV สุดล้ำสมัยล่าสุด เปิดมุมมองปลดล็อกอนาคตธุรกิจ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล
ข่าวสาร
SC Asset โชว์ยอดขายบ้านหรูไตรมาส 2/2568 โตแรง 118% เซ็กเมนท์ 20 ล้านครองแชมป์ รับกระแสดีมานด์บ้านหรูแกร่ง ตอกย้ำผู้นำบ้านพรีเมียม
ข่าวสาร
แสนสิริส่งต่อพลังใจ “ถ้าจะดี เราต้องดีไปด้วยกัน” ร่วมดูแลภาคเกษตรเสาหลักเศรษฐกิจรับซื้อมังคุด 40 ตัน เปิดคอมมูนิตี้ต้อนรับของอร่อยระดับตำนานจากบรรทัดทอง
ข่าวสาร
รีวิวโครงการ
รีวิว เดอะ ซิกเนเจอร์ สุขุมวิท 77 (The Signature Sukhumvit 77) บ้านหรูระดับ Super Luxury บททำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง
Review
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
Loading..