–
จากผลกระทบจากวิกฤตคดี “แอชตัน อโศก” ในช่วงที่ผ่านส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การดำเนินธุรกิจของ“อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” พอสมควร ในเรื่องผลกระทบความมั่นใจของลูกค้า นั่นเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดการขายไม่วิ่งไปตามเป้าหมายวางไว้ ทำให้อนันดาฯมีการวางแผนรับมือ เพื่อก้าวข้ามผ่านอุปสรรคปัญหานี้ไปให้ได้ พร้อมเป้าหมายใหญ่พลิกฟื้นผลการดำเนินงานมีกำไร (turn around) ในปี 2567
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า หลังได้มีการตัดสินคดีแอชตัน อโศก เดือนกรกฎาคมแล้ว ความคืบหน้าขณะนี้ ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ด้วยความร่วมมือระหว่างอนันดาฯ และเจ้าของร่วม ใน 5 แนวทาง คือ ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการซื้อ หรือหาที่ดินเพิ่มเติม ,เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านสำนักงานโยธากรุงเทพมหานคร ไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง,เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน รฟม.เสนอผ่านกระทรวงคมนาคม ไปยังคณะรัฐมนตรี,ประสานเจ้าของเดิม ให้ยื่นทบทวนสิทธิ์ที่ดินทางเข้า-ออก จากรฟม.ให้ทบทวนสิทธิ์ที่ดินเดิมก่อนเวนคืน ควรให้สิทธิ์ทางเข้าออก อย่างน้อย 12-13 เมตร เพื่อให้สามารถขึ้นอาคารสูงและขนาดใหญ่พิเศษได้ และยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ ทำให้ได้ข้อเท็จจริง
“สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องหยุดและจำกัดความเสียหาย และก้าวข้ามไปให้ได้ โดยต้องพยายามเทิร์นอะราวด์ พิสูจน์ให้อุตสาหกรรมนี้เห็น ทั้ง ผู้ถือหุ้นกู้ของอนันดาฯ สถาบันการเงิน ลูกค้า อย่างไรก็ดี อนันดาฯไม่กระทบจากเรื่องแอชตัน อโศกมากนัก เราพิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจของอนันดาฯฟื้นตัวอย่างจริงจังแล้ว จากยอดขายที่ดีขึ้น”
โดยในเดือนสิงหาคม ซึ่งสามารถทำยอดโอนกรรมสิทธิ์เติบโต(QoQ)เมื่อเทียบกับก.ค.ประมาณ 71% และใน 8 เดือนแรก (YoY) เติบโตเทียบช่วงเดียวกันถึง 28% ขณะที่ ทางอนันดาฯยังคงเดินหน้าเปิดโครงการแนวราบ ซึ่งมีการเปิดตัวซีรีย์ใหม่รูปแบบบ้านเดี่ยวไฮเอนด์
ขณะที่ยอดขาย (Presale) ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 12,903 ล้านบาท เติบโต 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 8,327 ล้านบาท โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามียอดขายที่ 1,707 ล้านบาท เติบโต 15% จากเดือนกรกฎาคมที่ทำได้ 1,486 ล้านบาท และเชื่อว่าในกันยายนนนี้จะสามารถปิดยอดขายได้ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ จากภาพรวมตลาดอสังหาฯที่เริ่มฟื้นตัวจากสัญญาณบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และรับรัฐบาลใหม่ที่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ และมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคต่างๆ จึงมองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่ดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ดังนั้น จะรุกการสร้างยอดขายในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญใหญ่ของปี ภายใต้ชื่อ “ANANDA Daddy Clearance Sale แด๊ดดี้ สั่งลด” เน้นการขายสินค้าพร้อมอยู่ (READY TO MOVE) โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่มีอยู่กว่า 7,337 ล้านบาท หรือประมาณ 1,100 ยูนิต เฉลี่ยราคา 7 ล้านบาทต่อยูนิต (จากปัจจุบันที่มี READY TO MOVE มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท) ลดราคา 10-30% เพื่อกระตุ้นยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาในปีนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากแคมเปญดังกล่าวแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาย Big Lots (ล็อตใหญ่ 10 ยูนิต หรือมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป) ให้กับลูกค้าแล้ว 7-8 ราย อย่างไรก็ตาม การนำสินค้ามูลค่ากว่า 7,337 ล้านบาท มาจัดแคมเปญในครั้งนี้ ส่งผลกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงปลายปีนี้ให้ลดลงประมาณ 8% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 26% คาดว่าสิ้นปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 20%
“การที่เราแบ่งเอาสินค้า READY TO MOVE มาจัดแคมเปญในช่วงปลายปีนี้ ก็เพื่อแลกกับการได้กระแสเงินสดกลับเข้ามาประมาณ 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้หนี้เราลดลงได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากการปิดการขาย 4 โครงการร่วมทุน ซึ่งจะได้เงินส่วนแบ่งจากการลงทุนคืนกลับมา และจะส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ในสิ้นปีนี้ลดลงเหลือระดับกว่า 1 เท่า (จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2 เท่า) ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 Cash and cash equivalents (เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด) อยู่ที่ 4,823.16 ล้านบาท” นายประเสริฐ กล่าว
ส่วนในปี 2567 บริษัทเชื่อว่าภาพรวมผลการดำเนินงานจะสามารถพลิกมีกำไร (เทิร์นอะราวด์) ได้ โดยบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการรับรู้รายได้ในปีหน้า อีกทั้ง บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 4-8 โครงการ โดยปัจจุบันมีที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 4 แปลง มูลค่าที่ดินรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้แก่ ที่สะพานควาย, ทองหล่อ, พระราม 4 และที่สามย่าน รวมถึงบริษัทยังมีสินค้า READY TO MOVE ที่จะทยอยเสร็จในปีหน้าเข้ามาเสริมอย่างต่อเนื่อง