การเพิ่มผักใบเขียวในอาหารประจำวันถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพ นอกจากจะให้วิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์แล้ว ผักกินใบยังมีแคลอรี่ต่ำแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่าย หากคุณมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย คุณสามารถปลูกผักกินใบหลากหลายชนิดได้ที่บ้าน ซึ่งนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าปลอดสารเคมีอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับผักกินใบ 9 ชนิดยอดนิยม พร้อมวิธีปลูกและประโยชน์ต่อสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ผักกินใบคืออะไร? ทำความรู้จักให้มากขึ้น
ผักกินใบ เป็นหนึ่งในประเภทของผักที่เรานิยมบริโภคส่วนของใบเป็นหลัก แตกต่างจากผักกินดอก ผักกินหัว หรือผักกินผล ผักประเภทนี้มีทั้งใบขนาดเล็กและใบขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วแต่มีอายุสั้น ใช้เวลาในการปลูกและเก็บเกี่ยวเพียงประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น
ผักกินใบมักต้องการปุ๋ยที่มีไนโตรเจนเป็นหลักเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของส่วนใบ คุณสมบัติเด่นของผักกินใบคือมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ

ทำไมการทานผักใบเขียวจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ?
การรับประทานผักใบเขียวเป็นประจำมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่บริโภคผักใบเขียวทุกวันมีอัตราการเสื่อมของระบบสมองที่ช้ากว่าผู้ที่ไม่รับประทาน ผักใบเขียวอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่:
- วิตามินและแร่ธาตุ: ผักใบเขียวมีวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค และแร่ธาตุอย่างเช่น แคลเซียม โพแทสเซียม และเหล็ก ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ผักใบเขียวมีสารเบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย
- ใยอาหาร: ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- โฟเลต: ช่วยในการผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมอารมณ์ เช่น โดพามีนและเซโรโทนิน
กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้คนไทยรับประทานผักและผลไม้วันละ 400 กรัม เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมอง และโรคมะเร็งบางชนิด

รู้จัก 9 ผักกินใบยอดนิยมและวิธีปลูกที่บ้าน
ผักบุ้งจีน – ผักที่ปลูกง่ายและมีประโยชน์มากมาย
ผักบุ้งจีนเป็นพืชที่มีลำต้นสีเขียวอ่อนตั้งตรง สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ลำต้นกลมกลวง ใบสีเขียวเรียวแหลม และมีดอกสีขาว มียางน้อยกว่าผักบุ้งไทย และเป็นที่นิยมในการบริโภคมากกว่า
วิธีปลูก: ผักบุ้งสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและการปักชำ สำหรับการปักชำ เมื่อซื้อผักบุ้งมาจากตลาด อย่าทิ้งส่วนรากเพราะสามารถนำมาเพาะต่อได้ โดยนำส่วนที่มีรากไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำไปปักชำในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ผักบุ้งชอบแดดเต็มวัน ต้องการน้ำมากและสม่ำเสมอ แต่ไม่ชอบน้ำขัง ควรรดน้ำเมื่อดินแห้ง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 20-30 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักบุ้งมีแคลอรี่ต่ำเพียง 18 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม แต่อุดมไปด้วยวิตามินซี (55 มิลลิกรัม) แคลเซียม (77 มิลลิกรัม) และเหล็ก (1.7 มิลลิกรัม) มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาต้อ ตาฟ้าฟาง ช่วยดับร้อน แก้อาการร้อนใน บำรุงโลหิต ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เพิ่มความสามารถในการจดจำ และช่วยในการขับปัสสาวะ
ผักกาดขาว – แหล่งวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ
ผักกาดขาวเป็นพืชล้มลุก มีอายุ 1 ปี ใบมีสีเขียวอ่อนถึงเขียวแก่หรือเขียวปนเหลือง มีลักษณะห่อปลีหรือไม่ห่อปลีตามสายพันธุ์ ใบด้านนอกใหญ่กว่าใบด้านใน โคนใบกว้าง ผิวใบบางเห็นเส้นใยชัด
วิธีปลูก: ผักกาดขาวขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ควรปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ชอบแดดจัดเต็มวัน ควรรดน้ำสม่ำเสมอทุกวันเช้า-เย็น สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 40-80 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักกาดขาวอุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม ใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ และวิตามินเค มีสารประกอบฟีนอล เช่น สารเคมเฟอรอลและสารเควอซิทิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยแก้ฤทธิ์สุรา ขับปัสสาวะและสารพิษ บรรเทาอาการไอ ช่วยการย่อยอาหาร บำรุงเม็ดเลือดแดง และบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ผักเคล – ซูเปอร์ฟู้ดที่มีประโยชน์สูง
ผักเคลหรือคะน้าใบหยิก มีลำต้นทรงกลมตั้งตรง ลักษณะเป็นข้อปล้องตามตำแหน่งใบ ใบมีหลายลักษณะตามสายพันธุ์ มีทั้งสีเขียวและสีม่วง ขอบใบทุกสายพันธุ์เป็นลอนหยักและผิวเป็นมัน
วิธีปลูก: ผักเคลขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ควรปลูกในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ชอบแสงแดดตลอดวัน ควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 45-60 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักเคลถือเป็นผักใบเขียวที่มีประโยชน์สูงสุด มีวิตามินเอสูงถึง 2,900 หน่วยสากล วิตามินเค 80 ไมโครกรัม วิตามินซี 18 มิลลิกรัม และใยอาหาร 4 กรัมต่อ 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยบำรุงสายตา ระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ ปอด และตับ
ผักชี – สมุนไพรหอมที่มีสรรพคุณทางยา
ผักชีมีลักษณะต้นขึ้นเป็นกอ ลำต้นคล้ายขึ้นฉ่ายแต่ขนาดเล็กกว่า ใบแคบกว่า มีสีเหลืองอ่อน และมีกลิ่นหอมเย็นเป็นเอกลักษณ์
วิธีปลูก: ผักชีนิยมปลูกด้วยเมล็ด ควรปลูกในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ชอบแดดรำไร ชอบน้ำปานกลาง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 40-50 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักชีอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม และเป็นยาบำรุงธาตุ
ขึ้นฉ่าย – ผักที่ปักชำง่ายและมีกลิ่นเฉพาะตัว
ขึ้นฉ่ายแบ่งเป็นขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery) และขึ้นฉ่ายจีน (Chinese Celery) โดยขึ้นฉ่ายจีนมีลำต้นเล็กกว่าขึ้นฉ่ายฝรั่งและมีกลิ่นหอมฉุนมากกว่า
วิธีปลูก: ขึ้นฉ่ายสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและการปักชำ สำหรับการปักชำ ให้นำต้นขึ้นฉ่ายที่ยังมีรากและใบอ่อนติดต้นสัก 2-3 ใบ แช่รากในน้ำทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำไปปักชำในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ชอบแดดรำไร ชอบน้ำปานกลาง ภายใน 2 สัปดาห์จะเริ่มแตกใบใหม่ สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 40-50 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ขึ้นฉ่ายมีวิตามินเอ ซี แคลเซียม และโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิต มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ และบำรุงระบบประสาท
ผักคอส – ผักกาดที่กรอบและอุดมด้วยวิตามิน
ผักคอส (Cos Lettuce) หรือผักกาดคอส ผักกาดโรเมน มีใบสีเขียวเรียวยาวซ้อนกันเป็นช่อ มีความกรอบ และมีรสชาติขมเล็กน้อย
วิธีปลูก: ผักคอสขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ควรรดน้ำสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง ควรปลูกให้ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 40-60 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักคอสมีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินเค สูง มีใยอาหารมาก แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ช่วยในการขับถ่าย และบำรุงสายตา
ผักกวางตุ้ง – ผักใบนุ่มนิยมในอาหารจีน
ผักกวางตุ้ง (Bok Choy) เป็นพืชล้มลุก อยู่ตระกูลเดียวกับกะหล่ำและผักกาด มีใบสีเขียว ปลายใบกลมมนหรือรี ใบเป็นแบบห่อวางเรียงสลับกัน ลักษณะคล้ายผักคะน้าแต่ใบบางกว่า
วิธีปลูก: ผักกวางตุ้งขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ชอบแสงแดดครึ่งวัน ปลูกได้ดีในดินแทบทุกชนิดหรือดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ชอบน้ำค่อนข้างมาก แต่อย่าให้น้ำขัง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 45 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: ผักกวางตุ้งมีวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และโพแทสเซียมสูง ช่วยในการย่อยอาหาร บำรุงสายตา และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
สะระแหน่ – สมุนไพรหอมที่ปลูกง่าย
สะระแหน่ (Kitchen Mint) เป็นไม้ล้มลุก มีเถาเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเหลี่ยม ผิวลำต้นสีแดงอมม่วง ใบสีเขียวเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
วิธีปลูก: สะระแหน่ขยายพันธุ์ด้วยการปลูกเหง้าและปักชำ ให้เตรียมดินโดยนำดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน และปูนขาวเล็กน้อย มาคลุกให้เข้ากัน เลือกกิ่งสะระแหน่ที่สมบูรณ์ นำไปปักในดินให้เอนทาบ รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ และนำแกลบโรยกลบเพื่อรักษาความชื้น ชอบแสงแดดจัด ชอบความชื้น ไม่ชอบน้ำขัง สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 35-60 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: สะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง และช่วยให้รู้สึกสดชื่น
กะหล่ำปลี – ผักกินใบที่อุดมด้วยวิตามิน
กะหล่ำปลี (Cabbage) เป็นพืชล้มลุก ใบมีหลายสีตามสายพันธุ์ ห่อหุ้มซ้อนกันแน่นเป็นหัว มีลักษณะกลมแบน
วิธีปลูก: กะหล่ำปลีขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ชอบแดดทั้งวัน ควรปลูกในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ควรรดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 60-90 วัน
ประโยชน์ทางโภชนาการ: กะหล่ำปลีมีวิตามินซี วิตามินเค และใยอาหารสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับถ่าย ลดระดับคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด

เคล็ดลับการปลูกผักกินใบให้ได้ผลผลิตดีตลอดปี
การเตรียมดินที่เหมาะสม
ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกผักกินใบควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ และมีค่า pH ที่เหมาะสม การเตรียมดินที่ดีควรผสมดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน และปุ๋ยหมัก 1 ส่วน เพื่อให้ดินมีธาตุอาหารที่เพียงพอ
สำหรับการปลูกในภาชนะหรือกระถาง ควรใช้ดินผสมสำหรับปลูกผักโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีส่วนผสมของดินร่วน ทราย และอินทรียวัตถุในสัดส่วนที่เหมาะสม
การให้น้ำและแสงแดด
ผักกินใบส่วนใหญ่ต้องการน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและชนิดของผัก ผักบางชนิดต้องการน้ำมาก เช่น ผักบุ้ง ในขณะที่บางชนิดต้องการน้ำน้อยกว่า เช่น ผักชี
ในส่วนของแสงแดด ผักกินใบส่วนใหญ่ต้องการแสงแดดประมาณ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน แต่บางชนิดเช่น ผักบุ้ง กะหล่ำปลี และผักกาดขาว ชอบแดดเต็มวัน ในขณะที่บางชนิดเช่น ผักชีและขึ้นฉ่าย ชอบแดดรำไร ดังนั้นควรเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมในการปลูก
การจัดการศัตรูพืชและโรคพืชอย่างปลอดภัย
การปลูกผักกินใบที่บ้านอาจต้องเผชิญกับปัญหาศัตรูพืชและโรคพืชได้ แต่เราสามารถจัดการได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้สารเคมี ดังนี้:
- การหมุนเวียนพืช: ไม่ควรปลูกผักชนิดเดียวกันในพื้นที่เดิมซ้ำๆ เพื่อลดการสะสมของโรคและแมลง
- การใช้น้ำส้มควันไม้: ฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้เจือจางเพื่อไล่แมลงศัตรูพืช
- การใช้น้ำยาบุหรี่: แช่บุหรี่ในน้ำและนำมาฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง
- การใช้น้ำซาวข้าว: รดน้ำซาวข้าวเพื่อเพิ่มธาตุอาหารและป้องกันโรคพืชบางชนิด
- การกำจัดวัชพืช: ถอนวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการแย่งอาหารและพื้นที่
สรุป
ผักกินใบนับเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย การรับประทานผักกินใบเป็นประจำช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ และช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การปลูกผักกินใบที่บ้านไม่เพียงแต่ทำให้คุณมีผักสดใหม่ปลอดสารเคมีไว้รับประทานเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย
การเริ่มต้นปลูกผักกินใบสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกชนิดผักที่เหมาะกับพื้นที่และสภาพอากาศของคุณ เตรียมดินที่มีคุณภาพดี ให้น้ำและแสงแดดอย่างเหมาะสม และดูแลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักเคล หรือผักชนิดอื่นๆ ล้วนปลูกได้ไม่ยากและให้ประโยชน์ที่คุ้มค่า
เริ่มปลูกผักกินใบวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและครอบครัว!
#สาระ #ผักกินใบ #วิธีปลูกผัก #ผักสวนครัว #ประโยชน์ของผัก #ผักปลอดสารพิษ #การปลูกผักที่บ้าน #ผักบุ้ง #ผักกาดขาว #อาหารเพื่อสุขภาพ #ผักเคล