ภาษีมรดกเป็นหนึ่งในภาษีที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยมากนัก แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนทางการเงินและการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่ทายาท โดยในประเทศไทยได้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 กำหนดให้ผู้ที่ได้รับมรดกที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไปต้องเสียภาษีในอัตรา 5% หรือ 10% ตามประเภทของความสัมพันธ์ บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมรดกอย่างละเอียด ทั้งนิยาม ผู้ที่ต้องเสีย ประเภททรัพย์สินที่เข้าข่าย วิธีการคำนวณ และเทคนิคการวางแผนเพื่อประโยชน์สูงสุดของทายาท

ภาษีมรดกคืออะไร? และทำไมรัฐถึงต้องจัดเก็บ?
ภาษีมรดก หรือ Inheritance Tax คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้รับมรดกแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นทายาททางสายเลือดหรือบุคคลอื่นที่ได้รับการระบุในพินัยกรรม โดยตามกฎหมายไทยจะเรียกเก็บเฉพาะกรณีที่ได้รับมรดกมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป และเป็นการเก็บภาษีจากผู้รับมรดก ไม่ใช่จากกองมรดกหรือเจ้ามรดกผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ มีการออกแบบมาเพื่อกระจายความมั่งคั่งในสังคมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการสร้างรายได้ให้กับรัฐ
ภาษีมรดกมีหลักการพื้นฐานว่า ผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าสูงโดยไม่ต้องลงแรงเอง ควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศผ่านการจ่ายภาษี ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับระบบภาษีอากรทั่วโลกที่มุ่งเน้นความเป็นธรรมทางสังคม โดยการจัดเก็บภาษีมรดกในประเทศไทยเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการหลังจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558

ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีมรดก? กฎหมายกำหนดไว้อย่างไร?
การพิจารณาว่าใครต้องเสียภาษีมรดกนั้น มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนตามกฎหมาย โดยครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ดังนี้:
บุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีมรดกประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก:
- บุคคลที่มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในหรือนอกประเทศไทย
- บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยตามกฎหมาย
- บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่ได้อาศัยในไทย แต่ได้รับมรดกเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย
สำหรับกลุ่มแรกและกลุ่มที่สอง จะต้องเสียภาษีมรดกจากทรัพย์สินทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่วนกลุ่มที่สามจะเสียภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
นิติบุคคล
นิติบุคคลที่ต้องเสียภาษีมรดกแบ่งเป็น 2 ประเภท:
- นิติบุคคลสัญชาติไทย ได้แก่:
- นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย
- นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
- นิติบุคคลที่มีคนไทยถือหุ้นมากกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน
- นิติบุคคลที่มีคนไทยเป็นผู้บริหารมากกว่าครึ่งหนึ่งของคณะบุคคล
- นิติบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่ได้รับมรดกเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย
สำหรับนิติบุคคลสัญชาติไทย จะต้องเสียภาษีมรดกจากทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ ส่วนนิติบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยจะเสียภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

ทรัพย์สินประเภทใดบ้างที่ต้องเสียภาษีมรดก?
ไม่ใช่ทรัพย์สินทุกประเภทที่ต้องเสียภาษีมรดก กฎหมายได้ระบุประเภทของทรัพย์สินที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมรดกไว้อย่างชัดเจน 5 ประเภท ดังนี้:
- อสังหาริมทรัพย์ – บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
- หลักทรัพย์ตามกฎหมาย – หุ้น หุ้นกู้ กองทุนรวม หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ หรือตราสารอนุพันธ์ต่างๆ ที่ออกโดยนิติบุคคลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
- เงินฝาก – เงินฝากในบัญชีธนาคาร สหกรณ์ หรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ที่เจ้าของมรดกมีสิทธิถอนคืนได้
- ยานพาหนะ – รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่นๆ ที่มีการจดทะเบียน
- ทรัพย์สินทางการเงินอื่นๆ – ตามที่กำหนดเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา
ทั้งนี้ มีทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีมรดก ได้แก่:
- สิ่งของที่ไม่ระบุชื่อ – ทรัพย์สินที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อระบุชื่อเจ้าของ เช่น เงินสด ทองคำ เครื่องประดับ เพชรพลอย ของสะสม ภาพวาด วัตถุโบราณ รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา
- เงินค่าสินไหมจากประกันชีวิต – เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากผู้เอาประกันเสียชีวิตแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินมรดก

อัตราภาษีมรดกเท่าไหร่? และมีวิธีคำนวณอย่างไร?
อัตราภาษีมรดกในประเทศไทยขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของมรดกและผู้รับมรดก โดยมีอัตราที่แตกต่างกันดังนี้:
- บุพการีหรือผู้สืบสันดาน – เสียภาษีอัตรา 5% ของมูลค่ามรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
- บุพการี ได้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
- ผู้สืบสันดาน ได้แก่ ลูก หลาน เหลน
- บุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดาน – เสียภาษีอัตรา 10% ของมูลค่ามรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
- เช่น พี่น้อง ญาติห่างๆ เพื่อน หรือบุคคลอื่นใดที่ได้รับมรดกตามพินัยกรรม
วิธีการคำนวณภาษีมรดก
การคำนวณภาษีมรดกมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน โดยใช้หลักการพื้นฐานดังนี้:
- คำนวณมูลค่ารวมของทรัพย์สินมรดกทั้งหมดที่ได้รับ
- หักภาระหนี้สินที่ตกทอดมาพร้อมกับมรดก
- หักมูลค่าทรัพย์สินที่ไม่ต้องเสียภาษี (ถ้ามี)
- ตรวจสอบว่ามูลค่ามรดกสุทธิเกิน 100 ล้านบาทหรือไม่
- ถ้าเกิน 100 ล้านบาท ให้นำส่วนที่เกินมาคูณด้วยอัตราภาษีตามความสัมพันธ์กับเจ้ามรดก
ตัวอย่างการคำนวณ
กรณีที่ 1: บุตรได้รับมรดกจากบิดามูลค่า 150 ล้านบาท
- มูลค่ามรดกส่วนที่เกิน: 150,000,000 – 100,000,000 = 50,000,000 บาท
- อัตราภาษี: 5% (เนื่องจากเป็นผู้สืบสันดาน)
- ภาษีที่ต้องชำระ: 50,000,000 × 5% = 2,500,000 บาท
กรณีที่ 2: เพื่อนได้รับมรดกตามพินัยกรรมมูลค่า 200 ล้านบาท
- มูลค่ามรดกส่วนที่เกิน: 200,000,000 – 100,000,000 = 100,000,000 บาท
- อัตราภาษี: 10% (เนื่องจากไม่ใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดาน)
- ภาษีที่ต้องชำระ: 100,000,000 × 10% = 10,000,000 บาท

กรณีใดบ้างที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก?
นอกจากเกณฑ์มูลค่ามรดกที่ต้องเกิน 100 ล้านบาทแล้ว กฎหมายยังกำหนดกรณียกเว้นที่ไม่ต้องเสียภาษีมรดก ดังนี้:
- มรดกที่ส่งมอบก่อนพระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ – มรดกที่ผู้เสียชีวิตส่งมอบให้ผู้รับก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559
- มรดกที่ส่งมอบให้คู่สมรสตามกฎหมาย – คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายได้รับการยกเว้นภาษีมรดกทั้งหมด ไม่ว่ามูลค่าจะเท่าใด
- มรดกที่ส่งมอบเพื่อสาธารณประโยชน์ – เช่น วัด มูลนิธิ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ
- มรดกที่ส่งมอบให้หน่วยงานภาครัฐ – เช่น ส่วนราชการ องค์การมหาชน หรือรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย
- มรดกที่ส่งมอบให้องค์กรระหว่างประเทศ – ที่มีข้อผูกพันกับประเทศไทย เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือสถานทูต
วิธีการยื่นภาษีมรดกและกำหนดเวลาที่ต้องดำเนินการ
การยื่นภาษีมรดกมีขั้นตอนและกำหนดเวลาที่ชัดเจน ซึ่งผู้รับมรดกควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษ ดังนี้:
ขั้นตอนการยื่นภาษีมรดก
- กรอกแบบแสดงรายการภาษีการรับมรดก (ภ.ม.60) ให้ครบถ้วนและถูกต้อง
- แนบเอกสารประกอบการยื่นแบบ เช่น เอกสารแสดงการเป็นทายาท พินัยกรรม (ถ้ามี) เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เป็นต้น
- ยื่นแบบและชำระภาษีที่กรมสรรพากร
กำหนดเวลาในการยื่นแบบและชำระภาษี
- ผู้รับมรดกต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วัน นับจากวันที่ได้รับมรดก
- หากผู้รับมรดกเสียชีวิตก่อนครบกำหนดยื่นแบบ ให้ผู้จัดการมรดกยื่นแบบและชำระภาษีแทนภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ผู้รับมรดกเสียชีวิต
- ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น อาจขอขยายเวลายื่นแบบออกไปได้ไม่เกิน 45 วัน
การผ่อนชำระภาษีมรดก
เนื่องจากภาษีมรดกอาจมีจำนวนเงินสูง กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ผู้รับมรดกสามารถผ่อนชำระได้ โดย:
- สามารถยื่นคำร้องขอผ่อนชำระได้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี
- หากสามารถชำระภาษีให้หมดภายใน 2 ปี จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ย

ผลของการไม่ยื่นหรือหลีกเลี่ยงภาษีมรดก
การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีมรดกมีบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง ทั้งในรูปแบบของเบี้ยปรับและโทษทางอาญา ดังนี้:
เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
- กรณียื่นแบบล่าช้า
- ต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ
- ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนด
- กรณียื่นแบบไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงความจริง
- ต้องเสียเบี้ยปรับ 0.5 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระในส่วนที่ขาดไป
โทษทางอาญา
- กรณีไม่ยื่นแบบโดยไม่มีเหตุอันสมควร
- มีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท
- กรณีไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของเจ้าพนักงาน
- มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- กรณีทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัด
- มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 400,000 บาท
- กรณีจงใจให้ข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
- มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เทคนิคการวางแผนภาษีมรดกอย่างถูกกฎหมาย
การวางแผนภาษีมรดกอย่างถูกกฎหมายมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก เพื่อให้ผู้รับมรดกได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมีเทคนิคที่น่าสนใจดังนี้:
1. การปรับเปลี่ยนรูปแบบทรัพย์สิน
การเปลี่ยนทรัพย์สินให้อยู่ในรูปแบบที่ได้รับการยกเว้นภาษีมรดก เช่น:
- แปลงสินทรัพย์บางส่วนเป็นเงินสด ทองคำ หรือเครื่องประดับมูลค่าสูง
- ลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญาหรือวัตถุโบราณที่ไม่ต้องจดทะเบียน
2. การทยอยโอนทรัพย์สินขณะยังมีชีวิต
การทยอยโอนทรัพย์สินในรูปแบบของการให้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย:
- โอนทรัพย์สินให้ทายาททางสายเลือดปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท
- โอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท
การให้แบบนี้จะเสียภาษีการให้ในอัตราที่ต่ำกว่าภาษีมรดก และสามารถกระจายการโอนทรัพย์สินได้ตลอดหลายปี
3. การทำประกันชีวิต
การซื้อประกันชีวิตที่ระบุผู้รับผลประโยชน์เป็นทายาท เนื่องจาก:
- เงินสินไหมจากกรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ถือเป็นมรดกที่ต้องเสียภาษี
- ยิ่งจ่ายเบี้ยประกันมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งสูงตามไปด้วย
4. การก่อตั้งองค์กรหรือมูลนิธิ
การก่อตั้งมูลนิธิ สมาคม หรือวิสาหกิจเพื่อชุมชน โดย:
- ระบุวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณประโยชน์
- จดทะเบียนกับกรมสรรพากรเพื่อขอรับการยกเว้นภาษี
- กำหนดให้ทายาทมีบทบาทในการบริหารจัดการ
5. การวางแผนส่วนบุคคลอื่นๆ
- พิจารณาจดทะเบียนสมรสหากอยู่กินฉันสามีภรรยา เนื่องจากคู่สมรสตามกฎหมายได้รับการยกเว้นภาษีมรดกทั้งหมด
- กระจายการถือครองทรัพย์สินในครอบครัว เพื่อให้แต่ละคนมีมูลค่าทรัพย์สินไม่เกินเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
- จัดทำพินัยกรรมอย่างรอบคอบและชัดเจน เพื่อกำหนดการกระจายทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สรุป
ภาษีมรดกถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมากควรทำความเข้าใจและวางแผนล่วงหน้า แม้ว่าจะมีการเรียกเก็บเฉพาะมรดกที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท แต่การวางแผนภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยให้ทายาทได้รับประโยชน์สูงสุดและลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย
การเข้าใจหลักเกณฑ์ทั้งเรื่องประเภททรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี อัตราภาษี วิธีการคำนวณ กรณียกเว้น และขั้นตอนการยื่นแบบ จะช่วยให้สามารถวางแผนการส่งต่อทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้เทคนิคการวางแผนต่างๆ เช่น การทยอยโอนทรัพย์สิน การทำประกันชีวิต หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบทรัพย์สิน เพื่อบริหารจัดการภาษีอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ การวางแผนภาษีมรดกควรดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ส่วนบุคคล เพราะการหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจนำมาซึ่งบทลงโทษที่รุนแรงทั้งในรูปแบบของเบี้ยปรับและโทษทางอาญา
#สาระ #การเงิน #ภาษีมรดก #การวางแผนภาษี #ทรัพย์สิน #ภาษีการรับมรดก #กฎหมายภาษี #ทายาท #การวางแผนทางการเงิน #พินัยกรรม #การจัดการมรดก #ภาษีการให้