บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีและคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Family Residences) ขยายผลศักยภาพ การดำเนินการก่อสร้างในปัจจุบัน 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 33,000 ล้านบาท 7 เดือนแรก สร้างยอด Presale กว่า 8,000 ล้านบาท พบตลาดลักชูรียังมี Real Demand สูง พร้อมขยายพื้นที่พัฒนาบนทำเล “พร้อมพงษ์ – เจริญกรุง – กรุงเทพกรีฑา” เดินหน้าผนึกพันธมิตร 3 กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น ประกอบด้วย “MORI TRUST” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท และอีก 2 กลุ่มทุน อยู่ระหว่างการเจรจา คาดปิดดีล ไม่เกินสิ้นปี ย้ำศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการแนวราบ ในช่วงไตรมาส 3 ปี พ.ศ. 2567 และโครงการคอนโดมิเนียมช่วงต้นปี พ.ศ. 2568
คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ นับเป็นผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีและคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Family Residences) บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นด้วยจุดยืนสู่การเป็น Lifescape Developer โดยเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรี ด้วยแนวคิด Craft & Quality ที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเข้าใจรูปแบบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าระดับบนตั้งแต่กลุ่ม High-end จนถึง Ultra-Luxury ปัจจุบัน บริษัทฯ ดำเนินการก่อสร้างและบริหารการขายโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนา ทั้งสิ้น 13 โครงการ ได้แก่ โครงการแนวสูง ภายใต้แบรนด์ MUNIQ, MARU, MAVISTA, MARQUIS และ METRIS สำหรับโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ MALTON, MILFORD และ MAYFIELD รวมถึงโครงการ TEN & ONLY ที่มีจำนวนเพียง 10 หลังเท่านั้น โดยใน 7 เดือนแรกของปี ได้รับการตอบรับและความเชื่อมั่นในแบรนด์จากกลุ่มลูกค้า ทำให้มี Presale แล้วกว่า 8.000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการระดับ Luxury จนถึง Ultra-Luxury จากแบรนด์ MUNIQ, MAVISTA และ METRIS ทั้งนี้ สำหรับโครงการ METRIS DISTRICT LADPHRAO จะเริ่มรับรู้รายได้จากการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตามแผนการโอนในปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป และ ในปี พ.ศ. 2570 – 2572 จะรับรู้รายได้จากส่วนแบ่งกำไรการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ Presale ของการร่วมทุนโครงการ MUNIQ พร้อมพงษ์, MUNIQ เจริญกรุง และ MAVISTA พร้อมพงษ์ ร่วมมูลค่าโครงการประมาณกว่า 12,000 ล้านบาท และส่วนสำหรับโครงการ MARU จุฬาฯ และ MARQUIS พญาไท ซึ่งเป็นโครงการไฮไลทของปีนี้ คาดว่าจะเริ่มเปิดขายในไตรมาสที่ 3 – 4 ของปีนี้”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง พบว่ายังมี Real Demand อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัว ดังนั้น บริษัทฯ จึงทำการศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ ประกอบกับการค้นหาพื้นที่ศักยภาพและปัจจัยบวกส่งเสริม เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์และดีไซน์ ที่อยู่อาศัยพร้อมมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืนเหนือกว่าใคร โดยพบว่า บนทำเล พร้อมพงษ์ – เจริญกรุง – กรุงเทพกรีฑา นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีสูง และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะดำเนินการพัฒนาพื้นที่ โดยมุ่งเป้าหมายสู่การยกระดับโครงการผ่านการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทฯ ที่มีมุมมองตรงกัน และมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมร่วมทุนกับบริษัทกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น 3 กลุ่ม ได้แก่ MORI TRUST ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในมหานครโตเกียว โดยจะดำเนินการพัฒนาโครงการ มอลตัน เกสต์ กรุงเทพกรีฑา 2 (Malton Gates Krungthep Kreetha II) มูลค่าโครงการประมาณ 2,100 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 และอยู่ระหว่างการดำนินการเจรจาในรายละเอียดธุรกิจ อีก 2 กลุ่ม โดยมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในปีนี้
“การที่บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก เกิดจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Diversify Revenue ที่ทำให้พอร์ตของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนในการพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น สร้างบาลานซ์ รายได้ให้มีความสม่ำเสมอ รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งจากการที่มีพันธมิตรในการร่วมทุนพัฒนาโครงการกับบริษัท ทำให้มั่นใจถึงศักยภาพในการเติบโตของบริษัทที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง นอกจากนี้ ยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมมากขึ้นจากโครงการแนวราบในช่วงไตรมาส 3 ปี พ.ศ. 2567 และโครงการคอนโดมิเนียมจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป เป็นไปตามเป้าหมายในการบาลานซ์พอร์ตธุรกิจ การพัฒนาโครงการ และสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม 60% และโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม 40% รวมถึงรายได้ค่าเช่าจากธุรกิจให้เช่าอาคารพาณิชย์ และรายได้จากโรงแรมที่อยู่ในช่วงขาขึ้น” คุณเพชรลดา กล่าวสรุป