เครื่องฟอกอากาศ 6 วิธีเลือกให้ใช้งานคุ้มค่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

          ฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาในบ้านเราทุกปีครับ ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมือง ก็น่าจะเผชิญปัญหานี้เหมือน ๆ กันหมด มากน้อยต่างกันไป เครื่องฟอกอากาศเลยกลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าสามัญประจำบ้านที่ควรจะมีติดไว้ ใครที่ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องฟอกอากาศ แนะนำว่าดู ๆ เอาไว้หน่อยก็ดี เดี๋ยวนี้มีออกมาขายหลายขนาด หลายราคา จากหลายแบรนด์ ตัวเลือกเยอะครับ ลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว คุ้มค่ากว่าต้องเจ็บป่วยนะครับ สำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้เลยว่าในท้องตลาดตอนนี้มีแบรนด์อะไร มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ แล้วถ้าจะซื้อ ควรต้องเลือกซื้ออย่างไรให้ถูกต้อง คุ้มค่า เหมาะสมกับการใช้งาน วันนี้ผมมีวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศมาฝากกันครับ

1. ฟังก์ชันการใช้งานตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

แน่นอนว่าเครื่องฟอกอากาศ ฟังก์ชันการใช้งานหลักก็คือการฟอกอากาศนั่นแหละครับ แต่เครื่องฟอกก็มีหลากหลายแบรนด์ หลากหลายรุ่น ดังนั้นในท้องตลาดก็จะมีบางรุ่นที่ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะตัวบางประการ 

เช่น เครื่องฟอกอากาศพร้อมที่ดักจับยุง, เครื่องฟอกอากาศสำหรับสัตว์เลี้ยง, เครื่องฟอกอากาศสำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ, เครื่องฟอกอากาศพร้อมฟังก์ชันชาร์จมือถือ ลำโพงบลูทูธ และโคมไฟในตัว, เครื่องฟอกอากาศพกพา ฯลฯ ดังนั้นวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ถูกต้องประการแรก คือเลือกให้ตอบโจทย์การใช้งานของเราครับ

2. ขนาดเครื่อง เหมาะกับขนาดห้อง

ขนาดเครื่องที่เล็กเกินไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพการฟอกอากาศลดลง แถมตัวเครื่องยังต้องทำงานหนักขึ้น เกิดเสียงดัง และพังไวด้วยครับ เรื่องของขนาดตัวเครื่องกับขนาดตัวห้องเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ ที่ต้องคำนึงถึง โดยแต่ละรุ่นก็จะมีการบอกขนาดของตัวห้องที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานเอาไว้ให้อยู่แล้ว

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศแบบเจาะลึกมากขึ้น เพื่อให้ได้ตัวเครื่องที่ตรงกับความต้องการ ก็สามารถใช้โปรแกรมคำนวณได้ครับ ไปที่ลิงก์นี้ได้เลย learnmetrics ตัวโปรแกรมจะให้เรากรอกพื้นที่ห้องและความสูงของห้องเป็นตารางฟุต และให้เราเลือกค่า ACH ที่เราต้องการ (ACH คือ จำนวนรอบของการไหลเวียนอากาศผ่านเครื่องฟอกอากาศครบทั้งปริมาตรของห้อง ต่อหนึ่งชั่วโมง เช่น 5 ACH = 5 รอบต่อ 1 ชั่วโมง)

โปรแกรมจะคำนวณออกมาให้ครับ ว่าเราควรซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR เรท อยู่ที่เท่าไหร่ ค่า CADR ตัวเลขยิ่งสูงก็แปลว่าทำงานได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เมื่อได้ผลลัพธ์จากการคำนวณออกมาแล้ว จะซื้อเครื่องที่มีค่า CADR เพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้ครับ เพราะเครื่องที่ใหญ่กว่าห้องสักเล็กน้อย ก็ช่วยให้ตัวเครื่องไม่ทำงานหนักมากเกินไปนั่นเอง

3. เลือกแผ่นกรองให้ตรงกับการใช้งาน

เครื่องฟอกอากาศแต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่น ก็ผลิตแผ่นกรองสำหรับการใช้งานแตกต่างกันไป บางรุ่นก็สามารถเลือกเปลี่ยนแผ่นกรองได้หลากหลายแบบ บางรุ่นก็มีให้เลือกแค่รูปแบบเดียว จากภาพจะเห็นได้ว่า รูปร่าง ขนาด สีสัน ก็แตกต่างกันไปด้วย ไม่สามารถใช้ข้ามแบรนด์กันได้ และบางแบรนด์ก็จะมีแผ่นกรองเฉพาะของแต่ละรุ่น ที่ไม่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับรุ่นอื่น ๆ ในแบรนด์ได้

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ ก่อนซื้อก็ต้องลองศึกษากันดูก่อนครับ ว่ารุ่นที่เราสนใจมีแผ่นกรองอากาศแบบไหนบ้าง แต่ละแบบต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรามากที่สุด ที่สำคัญต้องหาซื้อเปลี่ยนได้ง่ายด้วยนะครับ เพราะเมื่อใช้งานไปเป็นระยะเวลานึง ก็ต้องเปลี่ยนตัวแผ่นกรองใหม่เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน

4. เช็กระดับเสียงจากข้อมูลจำเพาะ

แม้ว่าแบรนด์ส่วนใหญ่จะบอกค่าความดังของเสียงมาให้ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะบอกในโหมดที่มีเสียงเบาที่สุดมา อาจจะต้องลองดูว่า การใช้งานในโหมดอื่น ๆ นั้น เสียงของการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง หากมีหน้าร้านให้สามารถไปดูสินค้าได้โดยตรงก็ควรไปเช็กดูให้แน่ใจด้วยตนเองครับ รีวิวจากผู้ใช้งานตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็ช่วยในการตัดสินใจได้เหมือนกัน

จริง ๆ แล้วเสียงของการทำงานก็ไม่ได้ดังมากขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าเราเลือกขนาดได้เหมาะสมกับห้องที่ใช้งาน และคนส่วนมากก็ไม่ได้เปิดตัวเครื่องเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่มันมีผลกับคนที่คอนเซินในเรื่องของเสียง หรือคนที่มีความอ่อนไหวมากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่านอนหลับยาก ไม่ต้องการเสียงรบกวน แต่ต้องการเปิดเครื่องฟอกขณะนอนหลับ ก็ต้องพิจารณากันให้ดีครับสำหรับข้อนี้

5. ดีไซน์ของเครื่องฟอกอากาศ

ดีไซน์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญครับ โดยเฉพาะคนที่รักการตกแต่งบ้าน ต้องการให้บ้านมองมุมไหนก็สวยดูดี คุมโทนตลอดเวลา เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่ในท้องตลาดก็จะมีลักษณะเป็นกล่องสีขาวใช่มั้ยล่ะครับ แบบนั้นจริง ๆ ก็ดูเรียบง่ายดีอยู่แล้ว แต่ถ้าใครอยากได้รูปลักษณ์ที่ดูสวยงามเข้ากับบ้านหรือห้องมากขึ้น ก็ต้องเสาะหากันหน่อย เท่าที่ผมรู้ตอนนี้ของ IKEA ก็มีออกมาหลายรุ่นครับ

6. พิจารณาค่าใช้จ่ายระยะยาว

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศต้องดูค่าใช้จ่ายระยะยาวด้วยครับ เครื่องฟอกอากาศมีหลายเรทราคา ยิ่งซื้อแพง ยิ่งต้องเช็กครับ ว่าพวกงานรับประกัน บริการหลังการขายต่าง ๆ ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ค่าเปลี่ยนแผ่นกรอง, ค่าไฟ และค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ก็ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่เราต้องเสียตลอดอายุการใช้งานครับ ถ้ากำลังลังเลระหว่าง 2 แบรนด์ ที่มีราคาและฟังก์ชันใกล้เคียงกัน ผมแนะนำว่าให้เลือกแบรนด์ที่มีการรับประกันยาวนานกว่า หรือมีบริการหลังการขายรองรับให้ แบบนี้อุ่นใจกว่าแน่นอนครับ

บทความที่คุณอาจสนใจ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด