ในยุคที่ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจึงเป็นหัวใจสำคัญ การลงโฆษณาโดยไร้การวิเคราะห์ที่แม่นยำอาจทำให้แบรนด์สูญเสียงบประมาณไปโดยไม่จำเป็น
YDM Thailand ผู้บุกเบิกการใช้ Marketing Mix Modeling (MMM) กับธุรกิจจริงในไทย โดยใช้ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่จาก Meta มาเป็นกลไกสำคัญ ในการช่วยแบรนด์คาดการณ์ผลลัพธ์ พร้อมบริหารงบโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด MMM สามารถระบุได้ว่าสื่อโฆษณาใดให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด และช่วยให้แบรนด์ตัดสินใจตัดงบจากช่องทางที่ไม่มีประสิทธิภาพได้อย่างแม่นยำ
Marketing Mix Modeling (MMM) คืออะไร?
MMM เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้หลักสถิติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของแต่ละช่องทางการตลาดที่มีต่อยอดขาย โดยไม่ต้องพึ่งพาข้อมูลส่วนบุคคล (First-party Data) หรือ Cookies ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในยุคที่กฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคเข้มงวดขึ้น ด้วย MMM ธุรกิจสามารถเข้าใจได้ว่าสื่อหรือกลยุทธ์ทางการตลาดใดส่งผลกระทบต่อยอดขายมากที่สุด และสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น
ข้อดีของ MMM ที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม
1.ไขความลับ! ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อโฆษณาและยอดขายออฟไลน์ ทุกวันนี้แบรนด์ลงทุนโฆษณาผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้ง ออนไลน์ เช่น Facebook Ads, Google Ads, TikTok, LINE และ ออฟไลน์ เช่น TV, OOH (Out of Home), โปรโมชั่นในร้านค้า หรือแคมเปญใหญ่อย่าง Double Digit Day Sales และมีช่องทางการขายเดิมจากออฟไลน์ และช่องทางการขายใหม่ในออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญ ที่มีมาอย่างยาวนาน คือ การวิเคราะห์ว่ายอดขายจากช่องทางออฟไลน์เป็นผลมาจากสื่อใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน
ด้วย Marketing Mix Modeling (MMM) ทำให้มองเห็น คำตอบที่แท้จริง ว่าสื่อใดสร้างผลกระทบต่อยอดขายในช่องทางออฟไลน์มากที่สุด และสื่อใดให้ผลตอบแทนต่ำ MMM ยังสามารถบูรณาการข้อมูล ยอดขายจากทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มองเห็นภาพรวมได้ครบถ้วน นอกจากนั้น ยังสามารถหาคำตอบได้ว่า หากไม่ลงทุนในสื่อโฆษณาเลย ยอดขายที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วแบบออร์แกนิก (Organic) จะมีประมาณเท่าไร
2. คาดการณ์ ROI ได้ล่วงหน้า เพิ่มความมั่นใจในการลงทุนโฆษณา เมื่อแบรนด์มี Marketing Mix Modeling (MMM) แล้ว จะสามารถคำนวณและคาดการณ์ ROI ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ตั้งแต่ก่อนลงโฆษณา โมเดลจะช่วยทำนายได้ว่า หากเพิ่มหรือลดงบโฆษณาในแต่ละแพลตฟอร์ม จะส่งผลต่อยอดขายมากน้อยเพียงใด ด้วย ความแม่นยำสูงถึง 80-90% ทำให้แบรนด์สามารถ ลงทุนอย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการขาดทุนจากการเลือกใช้ช่องทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ MMM ยังช่วยให้แบรนด์เข้าใจถึง “จุดอิ่มตัว” (Diminishing Return) ของการลงโฆษณาในแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น หากเพิ่มงบโฆษณาในช่องทางหนึ่งไปถึงระดับหนึ่ง อาจไม่ได้สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของงบที่ลงทุน โมเดลสามารถชี้ให้เห็นว่าเมื่อไหร่ที่แบรนด์ควรหยุดเพิ่มงบ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินจำเป็น และโยกงบไปยังช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปไม่สามารถให้คำตอบได้
เปลี่ยนแนวคิดการวางแผนสื่อ จากพฤติกรรมผู้บริโภค สู่ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง
เดิมที การวางแผนสื่อโฆษณาส่วนใหญ่เน้นไปที่การ ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสื่อของกลุ่มเป้าหมาย (Media Behavior) โดยใช้ข้อมูล ประชากรศาสตร์ (Demographic) เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ รายได้ หรือความสนใจ เพื่อคาดการณ์ว่ากลุ่มเป้าหมายจะมีแนวโน้มเสพสื่อใดมากที่สุด จากนั้นแบรนด์จะวางแผนการซื้อสื่อโดยเน้นช่องทางที่ตรงกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ได้ให้คำตอบที่แท้จริงว่า สื่อใดที่สร้างยอดขายให้ธุรกิจโดยตรง การโฟกัสไปที่ “การเข้าถึงผู้บริโภค” ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าเสมอไป
MMM ได้เข้ามาปฏิวัติแนวคิดนี้ ด้วยการนำ “ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง” มาเป็นศูนย์กลางของการวางแผนสื่อ แทนที่จะวิเคราะห์เพียงแค่พฤติกรรมการเสพสื่อ MMM ผสานข้อมูลจากทั้งยอดขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อให้แบรนด์สามารถ มองเห็นภาพรวมของผลกระทบจากสื่อทุกช่องทางต่อยอดขายจริง ยกตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ใช้โฆษณาผ่าน Facebook, Google, TikTok และทำโปรโมชั่นที่หน้าร้านพร้อมกัน ก่อนหน้านี้แบรนด์อาจเข้าใจว่ายอดขายออฟไลน์ส่วนใหญ่มาจากโปรโมชั่น หรือสื่อโฆษณาในห้าง แต่ MMM สามารถช่วยระบุได้ว่ายอดขายเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับโฆษณาออนไลน์มากน้อยเพียงใด และแม้แต่ช่วยทำนายว่า หากแบรนด์ตัดช่องทางใดออกไป ยอดขายจะลดลงแค่ไหน
ธุรกิจที่ใช้ MMM กำลังก้าวล้ำไปอีกขั้น ทิ้งห่างคู่แข่งที่ยังไม่ปรับตัว
การใช้ MMM ไม่ใช่แค่การปรับปรุงการวางแผนโฆษณา แต่คือ การเปลี่ยนมุมมองการทำการตลาดไปสู่ยุคใหม่ ที่ใช้ข้อมูลเชิงลึกมาขับเคลื่อนการตัดสินใจอย่างแม่นยำ ธุรกิจที่ใช้ MMM สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ล่วงหน้า และลงทุนในสื่อที่สร้างยอดขายจริงโดยไม่ต้องลองผิดลองถูก ในขณะที่ธุรกิจที่ยังคงใช้วิธีการวางแผนสื่อแบบเดิม อาจกำลังเสียเปรียบโดยไม่รู้ตัว ในโลกที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน การใช้ เทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อบริหารงบโฆษณาอย่างแม่นยำ ไม่ใช่แค่ ทางเลือก อีกต่อไป แต่มันคือ สิ่งจำเป็น สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดด และ ทิ้งห่างคู่แข่งไปไกล
MMM จากเดิมสู่ยุคใหม่ที่รวดเร็วและคุ้มค่ากว่า
ในอดีต การใช้ MMM จำเป็นต้องอาศัยบริษัทวิจัยที่ต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลนานถึง 3-6 เดือน และใช้งบประมาณจำนวนมากกว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมา ปัญหาคือเมื่อผลลัพธ์ออกมาแล้ว ธุรกิจอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ข้อมูลที่ได้ล้าสมัยและไม่ทันต่อการใช้งานจริง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว YDM Thailand ได้พัฒนาโซลูชัน MMM ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็ว ทำให้แบรนด์สามารถตัดสินใจทางการตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำลง และให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
จากการทำงานร่วมกับแบรนด์อาหารเสริมชื่อดังแบรนด์หนึ่งอย่างใกล้ชิด YDM ได้ให้คำแนะนำในการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณาในช่องทางที่ไม่คุ้มค่าได้กว่าเดือนละ 5 ล้านบาท และยังสามารถนำเงินจำนวนนี้ไปเพิ่มในช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ ช่วยให้ สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 300% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ ที่พิสูจน์แล้ว
YDM Thailand พร้อมนำธุรกิจสู่ยุคใหม่ของการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ด้วยแนวคิด “Data-Driven Marketing” YDM Thailand มุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในตลาดดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่งขึ้น MMM รุ่นใหม่ของ YDM Thailand ช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างชาญฉลาด ตัดสินใจเรื่องงบประมาณโฆษณาได้อย่างมั่นใจ และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด