ดาวเรืองได้กลายเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยสีเหลืองทองอร่ามที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรือง ความสว่างไสว และความก้าวหน้า ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เพียงแต่มีความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมงคลตามความเชื่อของคนไทย นอกจากนี้ดาวเรืองยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ใช้ต้นทุนต่ำ และให้ผลผลิตสูง ทำให้เกษตรกรหลายรายหันมาปลูกเป็นอาชีพหลักหรือเสริม

ดาวเรืองมาจากไหนและเข้าสู่ไทยได้อย่างไร
ดาวเรืองหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tagetes erecta L. มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ในอดีตชาวแอซเท็กได้ใช้ดาวเรืองป่าทั้งในพิธีกรรม การรักษาโรค และการตกแต่ง โดยเรียกดอกไม้นี้ในภาษานาวาตลว่า “cempohualxochitl” ซึ่งแปลว่า “ดอกไม้ยี่สิบ” เนื่องจากชาวแอซเท็กมองเลข 20 เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์
การแพร่กระจายของดาวเรืองสู่ทวีปอื่นเริ่มขึ้นหลังจากการพิชิตของสเปนในศตวรรษที่ 16 เมื่อนักสำรวจสเปนนำดาวเรืองจากเม็กซิโกไปยังยุโรป ต่อมาดาวเรืองได้แพร่กระจายไปยังแอฟริกาเหนือ และจากนั้นจึงกลับสู่ยุโรปอีกครั้ง ทำให้เกิดการเรียกชื่อผิดๆ ว่า “African Marigold” แม้ว่าจะไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา
สำหรับประเทศไทย การนำดาวเรืองเข้ามาปลูกครั้งแรกมีหลักฐานชัดเจนเมื่อปี พ.ศ. 2510 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้เมล็ดพันธุ์จากประเทศเนเธอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริในการส่งเสริมให้มีการทดลองปลูกและขยายพันธุ์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชน ดาวเรืองจึงกลายเป็นดอกไม้ประจำพระองค์เนื่องจากสีเหลืองอร่ามที่สอดคล้องกับสีประจำวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพ

สายพันธุ์ดาวเรืองแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร
ดาวเรืองที่พบเห็นในปัจจุบันมี 5 สายพันธุ์หลัก แต่ละสายพันธุ์มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ดาวเรืองอเมริกัน (American marigold) เป็นพันธุ์ที่มีลำต้นสูงประมาณ 25-100 เซนติเมตร มีดอกขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันแน่น เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7.5-10 เซนติเมตร มีสีเหลือง ส้ม ทอง และขาว สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่หากปลูกในฤดูหนาวจะใช้เวลาเพียง 60-65 วัน ส่วนฤดูร้อนจะออกดอกช้าลง 10-15 วัน
ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) มีลำต้นเตี้ยกว่า ความสูงประมาณ 15-30 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีสีเหลือง ส้ม ทอง แดง และสีน้ำตาลอมแดง ลักษณะเด่นคือออกดอกดีเฉพาะในฤดูหนาว หากปลูกในฤดูอื่นจะออกดอกน้อย
ดาวเรืองนักเก็ต (Nugget Marigolds) เป็นดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส มีโครโมโซม 3 ชุด ทำให้ออกดอกเร็วและดอกบานทนนาน เนื่องจากดอกเป็นหมัน ดาวเรืองซิกเน็ต (Signet Marigold) เป็นดาวเรืองต้นเตี้ย ขนาดดอกจิ๋ว เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 เซนติเมตร มีกลีบดอกเพียงชั้นเดียว นิยมปลูกมากในยุโรป
สายพันธุ์สุดท้ายคือ ดาวเรืองใบ (Foliage Marigold) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีใบสวยงาม ขึ้นเป็นพุ่มแน่น นิยมปลูกประดับในสวนมากกว่าเพื่อดอก การเลือกสายพันธุ์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการปลูก เช่น ปลูกเพื่อตัดดอกขาย ปลูกประดับ หรือปลูกเพื่อการค้า.

วิธีปลูกและดูแลดาวเรืองให้เจริญงาม
การปลูกดาวเรืองถือเป็นงานที่ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นไม้ดอกที่สามารถเติบโตได้ในทุกสภาพดิน แต่จะให้ผลดีที่สุดในดินร่วน. สำหรับการปลูกในกระถาง ควรผสมดินกับวัสดุเพาะ เช่น ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว และขี้เถ้าแกลบ ในอัตราดินร่วน 1 ส่วน ต่อวัสดุเพาะ 1 ส่วน
ขั้นตอนการเพาะเมล็ดเริ่มต้นด้วยการนำพีทมอสหรือวัสดุเพาะบรรจุลงถาดหลุม จากนั้นเจาะหลุมและวางเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองลงความลึกประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร หลังจากกลบเมล็ดด้วยวัสดุเพาะแล้ว ให้รดน้ำสะอาดเช้าเย็นเป็นประจำ โดยหลีกเลี่ยงการใช้น้ำประปาที่มีคลอรีน
การดูแลต้นกล้าแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเมื่อเมล็ดเริ่มงอก ควรให้ได้รับการพรางแสงประมาณ 80% เป็นเวลา 3-5 วัน เพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้น ระยะที่สองเมื่อต้นกล้าเริ่มพัฒนามีรากและใบเลี้ยง ควรพรางแสง 50% ประมาณ 2 วัน ระยะสุดท้ายเมื่อมีใบจริงขึ้นมา 1 คู่ ให้อยู่ในสภาพแสงปกติไม่มีการพรางแสง
ดาวเรืองต้องการแสงแดดโดยตรงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง การรดน้ำควรทำวันละครั้ง แต่หากเป็นดินทรายควรรดทั้งเช้าและเย็น เพราะดินชนิดนี้อุ้มน้ำได้ไม่ดี สำหรับการปลูกในแปลง ควรยกร่องห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร และบำรุงด้วยปุ๋ยหลังย้ายกล้าประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก

ประโยชน์หลากหลายของดาวเรืองที่หลายคนไม่รู้
นอกเหนือจากความสวยงามและความเชื่อเรื่องมงคลแล้ว ดาวเรืองยังมีประโยชน์ในหลายด้านที่หลายคนอาจไม่ทราบ กลีบดอกดาวเรืองมีสารสีเหลืองที่เรียกว่าแซนโทฟิลล์สูง จึงมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารไก่ไข่เพื่อให้ไข่มีสีเหลืองสวย การวิเคราะห์ปริมาณแซนโตฟิลและแคโรทีนในกลีบดอกดาวเรืองพบว่า กลุ่มดอกสีส้มเหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชสีมากที่สุด
ภายในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือแอลฟ่า เทอร์เธียนิล (α-terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี คุณสมบัตินี้ทำให้ดาวเรืองเป็นพืชที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงดิน และช่วยในระบบการปลูกพืชหมุนเวียน.
ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา ดาวเรืองสามารถนำมาทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในผลิตเครื่องสำอางและยา มีสรรพคุณช่วยในการบำรุงผิว แก้อาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม นอกจากนี้ดาวเรืองยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้หลายรูปแบบ ทั้งการปลูกเพื่อตัดดอกขาย การปลูกในกระถางเพื่อขายเป็นไม้ประดับ และการปลูกเพื่อส่งโรงงานอาหารสัตว์
ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรืองประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกที่สำคัญคือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี การปลูกดาวเรืองใช้ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงจำหน่ายได้ประมาณ 55-65 วัน ทำให้เกษตรกรสามารถหมุนเวียนการปลูกได้หลายรอบต่อปี
สรุป
ดาวเรืองได้กลายเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมไทยมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี นับตั้งแต่การนำเข้ามาปลูกครั้งแรก ด้วยสีสันที่สดใส ความหมายที่ดี และความเชื่อเรื่องความมงคล ประกอบกับการปลูกที่ง่าย ดูแลไม่ยาก และมีประโยชน์หลากหลาย ทำให้ดาวเรืองเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกดอกไม้ประดับบ้าน สร้างรายได้เสริม หรือเพียงแค่เพื่อความสวยงามและความเป็นมงคลให้กับที่อยู่อาศัย การที่ดาวเรืองสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ใช้ต้นทุนต่ำ ออกดอกเร็ว และให้ผลผลิตสูง ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจในการปลูกมากขึ้น
#สาระ #ดาวเรือง #ดอกไม้มงคล #ปลูกดาวเรือง #ดอกไม้สีเหลือง #พืชเศรษฐกิจ #ไม้ประดับ #การเกษตร #ดอกไม้ไทย #ความเชื่อไทย #การปลูกดอกไม้