ผักตระกูลกะหล่ำเป็นกลุ่มพืชที่มีคุณประโยชน์มหาศาลต่อร่างกาย อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันโรคร้ายหลายชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ผักตระกูลนี้มีมากกว่า 3,000 ชนิดทั่วโลก มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายคลึงกัน คือมีลำต้นเป็นแกนกลางและแตกกิ่งกับช่อดอกตรงยอดลำต้น ที่สำคัญคือนอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ผักกลุ่มนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก บทความนี้จะแนะนำให้คุณรู้จักผักตระกูลกะหล่ำที่มีประโยชน์ พร้อมวิธีการปลูกไว้รับประทานเองที่บ้านเพื่อสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน

ประโยชน์ทางสุขภาพของผักตระกูลกะหล่ำที่อาจคุณไม่เคยรู้
ผักตระกูลกะหล่ำหรือ Cruciferous Vegetable อยู่ในวงศ์ Brassica มีสารอาหารสำคัญมากมายที่มอบประโยชน์ให้ร่างกายอย่างน่าทึ่ง ดังนี้
กลูโคซิโนเลต (Glucosinolates) เป็นสารสำคัญที่มีคุณสมบัติป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิด ทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานพืชตระกูลกะหล่ำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง สามารถลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 66% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีสารชัลโฟราเฟน อินโดล-3-คาร์บินอล และสารไอโซไธโอไซยาเนต ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ที่กระตุ้นสารก่อมะเร็ง และดักจับสารก่อมะเร็งรวมถึงอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ปกติ
ไฟเบอร์ (Fiber) ที่พบในผักกลุ่มนี้ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
วิตามินซี (Vitamin C) ที่อุดมในผักตระกูลกะหล่ำช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เร่งการสมานแผล บำรุงสายตาและผิวพรรณ เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก และยังช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้อีกด้วย
ผักตระกูลกะหล่ำยังมีวิตามินเค (Vitamin K) ที่ช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือดและบำรุงกระดูก รวมถึงวิตามินบี 9 หรือโฟเลต (Folate) ที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือด จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และช่วยลดโอกาสเด็กพิการแต่กำเนิด
ประโยชน์อื่นๆ ของผักตระกูลกะหล่ำยังมีอีกมากมาย เช่น ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร ป้องกันโรคกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก รักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยกำจัดของเสียและสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย รวมถึงช่วยให้ตับลดการขับฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย

บรอกโคลี – ราชาแห่งผักตระกูลกะหล่ำที่ปลูกง่าย
บรอกโคลี (Broccoli) เป็นผักที่ได้รับความนิยมสูงในผักตระกูลกะหล่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค วิตามินบี 9 หรือกรดโฟลิก ซีลีเนียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีน และไฟเบอร์ ช่วยในระบบย่อยอาหาร สร้างสมดุลน้ำตาลในร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
วิธีปลูกบรอกโคลีไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มจากการเพาะเมล็ดในถาดเพาะหรือถุงเพาะ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายลงแปลงหรือกระถางขนาดใหญ่ บรอกโคลีต้องการดินร่วนที่ระบายน้ำดี และแสงแดดเต็มวัน รดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน แต่ระวังไม่ให้ดินแฉะเกินไป นอกจากนี้ บรอกโคลีเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยมาก หากปุ๋ยไม่เพียงพอจะทำให้เติบโตช้า สามารถเก็บเกี่ยวได้หลังปลูกประมาณ 70-90 วัน โดยตัดดอกตูมที่ยังไม่บาน

กะหล่ำดอก – ความอร่อยที่ซ่อนอยู่ในดอกสีขาว
กะหล่ำดอก (Cauliflower) มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินเค วิตามินบี 6 โฟเลต โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ประโยชน์ที่สำคัญคือช่วยระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูก ป้องกันเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจ
การปลูกกะหล่ำดอกเริ่มจากการเพาะกล้า โดยหว่านเมล็ดลงแปลงเพาะหรือโรยเมล็ดเป็นแถว เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 30 วัน หรือมีใบจริง 3-4 ใบ จึงย้ายลงแปลงปลูก ระยะปลูกควรห่างกัน 40×60 เซนติเมตร เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้ ควรให้ปุ๋ยบำรุงต้นที่มีไนโตรเจนสูง และหลังจากย้ายปลูกได้ 40 วัน ให้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูงเพื่อบำรุงดอก
กะหล่ำดอกเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการอุ้มน้ำและมีอินทรียวัตถุสูง ค่า pH ประมาณ 6-6.8 และชอบอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เมื่อดอกกะหล่ำเริ่มออก ควรห่อโดยใช้ใบคลุมเพื่อให้ดอกมีสีขาวนวลสวยงาม

กะหล่ำปลี – ผักอเนกประสงค์ปลูกง่ายกินได้ทั้งปี
กะหล่ำปลี (Cabbage) เป็นผักที่คุ้นเคยและนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเค แมกนีเซียม โฟเลต ที่ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ ป้องกันการอักเสบ ป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบย่อยอาหาร
จากข้อมูลโภชนาการ กะหล่ำปลี 75 กรัม มีพลังงานเพียง 17 กิโลแคลอรี่ แต่มีคาร์โบไฮเดรต 4 กรัม ไฟเบอร์ 1 กรัม โปรตีน 1 กรัม วิตามินซี 27 มิลลิกรัม วิตามินเค 81.5 ไมโครกรัม แมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม และโฟเลต 22 ไมโครกรัม นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด
การปลูกกะหล่ำปลีเริ่มจากการเตรียมดินเพาะเมล็ด ใส่ในถาดเพาะหรือถุงเพาะ หยอดเมล็ดลงในแต่ละหลุม กลบดิน และรดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้ามีใบอย่างน้อย 3 ใบ และสูงประมาณ 3-4 นิ้ว จึงย้ายลงแปลงหรือกระถางขนาดใหญ่ การย้ายต้นกล้าควรทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้รากเสียหาย กดดินรอบต้นให้แน่นและรดน้ำ ในช่วงแรกควรจำกัดการรับแสงโดยหาที่กรองแสงหรือทำร่มบังแดดไว้ 3-4 วัน

กะหล่ำดาว – เพชรเม็ดเล็กแห่งผักตระกูลกะหล่ำ
กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) เป็นผักที่มีลักษณะพิเศษ คือ มีหัวขนาดเล็กคล้ายกะหล่ำปลีจิ๋ว แต่เกิดตามข้อของลำต้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค โฟเลต แมงกานีส โอเมก้า 3 ไฟเบอร์ โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ มีแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับคนลดน้ำหนัก ช่วยบำรุงกระดูก เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
กะหล่ำดาวเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงสูงได้ถึง 1 เมตร ลักษณะหัวคล้ายกะหล่ำปลี แต่มีขนาดเล็กเพียง 1-2 นิ้ว ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ชอบความชื้นสูง อากาศเย็น ดินร่วนซุย และทนแดดแรงได้ดี การปลูกมีขั้นตอนคล้ายกับการปลูกผักตระกูลกะหล่ำชนิดอื่นๆ แต่ต้องเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอเนื่องจากมีลำต้นสูง

ผักเคล – ซุปเปอร์ฟู้ดที่ปลูกได้ในบ้านเรา
ผักเคล (Kale) ได้รับการยกย่องว่าเป็นซุปเปอร์ฟู้ดเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค วิตามินบี 6 โพแทสเซียม ทองแดง แมงกานีส แคลเซียม แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ ประโยชน์ของผักเคลมีมากมาย ทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดีต่อระบบย่อยอาหาร ลดคอเลสเตอรอล ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยให้นอนหลับดี ต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง
ที่น่าสนใจคือผักเคลไม่มีไขมัน มีแคลอรี่ต่ำ และคาร์โบไฮเดรตน้อย ทำให้เป็นอาหารยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
การปลูกผักเคลทำได้ไม่ยาก เริ่มจากการเลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน ดินควรมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0 เพาะเมล็ดลึกประมาณ 1/4 – 1/2 นิ้ว เมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 2 นิ้ว ให้ถอนแยกให้ห่างกันประมาณ 12-18 นิ้ว รดน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ให้แฉะเกินไป ข้อดีของผักเคลคือสามารถเก็บเกี่ยวใบล่างก่อน ปล่อยให้ใบบนเติบโตต่อไปได้ ทำให้เก็บกินได้ต่อเนื่อง

กะหล่ำปลีใบย่น – รสชาติอ่อนนุ่มที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
กะหล่ำปลีใบย่น (Savoy Cabbage) เป็นกะหล่ำที่มีลักษณะพิเศษคือใบย่นและหยิกมากกว่ากะหล่ำปลีทั่วไป มีรสชาติอ่อนกว่า และไม่มีกลิ่นกำมะถันเมื่อปรุงสุก ที่พิเศษกว่านั้น กะหล่ำปลีใบย่นยังเป็นกะหล่ำที่ทนความหนาวเย็นได้ดีที่สุดในตระกูลกะหล่ำ
วิธีปลูกกะหล่ำปลีใบย่นเริ่มได้ดีในช่วงต้นฤดูหนาว โดยเพาะเมล็ด 4 สัปดาห์ก่อนฤดูหนาวหรือ 6-8 สัปดาห์ก่อนฤดูใบไม้ร่วง ปล่อยให้ต้นกล้าแข็งแรงก่อนย้ายปลูก ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 2 ฟุต และระหว่างต้น 15-18 นิ้ว ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ดินควรมีค่า pH ระหว่าง 6.5-6.8
เทคนิคสำคัญในการปลูกกะหล่ำปลีใบย่นคือ ควรคลุมดินด้วยปุ๋ยหมัก ใบไม้ หรือเปลือกไม้บดละเอียด เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืช รดน้ำประมาณ 1-1.5 นิ้วต่อสัปดาห์ และใส่ปุ๋ยเมื่อต้นเริ่มมีใบใหม่ และอีกครั้งเมื่อเริ่มห่อหัว

กะหล่ำปลีม่วง – สีสันสวยงามพร้อมคุณค่าทางอาหารที่เหนือกว่า
กะหล่ำปลีม่วง (Red Cabbage) มีลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีทั่วไป แต่มีสีม่วงอมแดงที่สวยงาม ซึ่งไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่สีม่วงนี้ยังบ่งบอกถึงปริมาณแอนโธไซยานินที่สูงกว่าในกะหล่ำปลีสีเขียว ทำให้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้นมากขึ่น
กะหล่ำปลีม่วงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต วิตามินบี 6 แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส และสังกะสี ทำให้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
การปลูกกะหล่ำปลีม่วงมีวิธีเดียวกับกะหล่ำปลีทั่วไป แต่มีข้อสังเกตว่ากะหล่ำปลีม่วงจะชอบดินร่วนซุย มีความชื้นสูง น้ำไม่ท่วมขัง และต้องการแสงแดดเต็มวัน ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้จะยาวกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวเล็กน้อย

กะหล่ำปม – ความแปลกใหม่ที่น่าลองปลูก
กะหล่ำปม หรือ โคห์ลราบี (Kohlrabi) เป็นผักที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย มีลักษณะพิเศษคือลำต้นส่วนบนจะพองออกเป็นทรงกลมคล้ายหัวผักกาด มีก้านเล็กและใบแตกยอดจากด้านบน ขอบใบหยัก ด้านในมีสีขาวอมเหลือง มีความแน่นและฉ่ำน้ำ
กะหล่ำปมเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี วิตามินบี 6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส และโฟเลต มีไฟเบอร์สูง ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพลำไส้ จากข้อมูลโภชนาการ กะหล่ำปม 135 กรัมให้พลังงานเพียง 36 แคลอรี่ แต่มีคาร์โบไฮเดรต 8 กรัม ไฟเบอร์ 5 กรัม โปรตีน 2 กรัม วิตามินซี 93% ของความต้องการต่อวัน วิตามินบี 6 12% และโพแทสเซียม 10%
การปลูกกะหล่ำปมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ชอบอากาศเย็น แสงแดดจัดตลอดวัน และควรรดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน วิธีการปลูกคล้ายกับผักตระกูลกะหล่ำอื่นๆ แต่ต้องระวังเรื่องการเว้นระยะปลูกให้เหมาะสมเพื่อให้หัวสามารถพัฒนาได้เต็มที่

เคล็ดลับการปลูกผักตระกูลกะหล่ำให้ได้ผลผลิตดี
การปลูกผักตระกูลกะหล่ำให้ได้ผลผลิตดีนั้น มีเคล็ดลับสำคัญที่ควรทำความเข้าใจ ดังนี้
เลือกเมล็ดพันธุ์คุณภาพจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไม่เก่าเก็บค้างนานปี และปราศจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือเชื้อรา เพราะเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
เตรียมดินให้เหมาะสม ผักตระกูลกะหล่ำชอบดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี และมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6-6.8 ควรผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ
การเพาะต้นกล้าควรทำในถาดเพาะหรือแปลงเพาะที่มีดินเบา เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 3-4 ใบ จึงย้ายลงปลูกในแปลงหรือกระถางที่เตรียมไว้ ระวังการกระทบกระเทือนรากในขณะย้ายต้นกล้า
ระยะปลูกที่เหมาะสมมีความสำคัญ ให้ระยะห่างระหว่างต้นที่เพียงพอเพื่อให้ต้นได้รับแสง อากาศถ่ายเท และลดการแพร่ระบาดของโรคและแมลง แต่ละชนิดอาจต้องการระยะห่างที่แตกต่างกัน
การให้น้ำต้องสม่ำเสมอ ผักตระกูลกะหล่ำต้องการน้ำอย่างเพียงพอ แต่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ควรรดน้ำตอนเช้าเพื่อให้ใบแห้งก่อนค่ำ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดโรครา
การใส่ปุ๋ยมีความสำคัญ ผักตระกูลกะหล่ำต้องการสารอาหารค่อนข้างมาก ควรใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงแรกเพื่อบำรุงต้น และปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูงเมื่อใกล้ออกดอกหรือห่อหัว
สุดท้าย การป้องกันศัตรูพืชคือความท้าทายสำคัญ ผักตระกูลกะหล่ำมีศัตรูพืชหลายชนิด โดยเฉพาะหนอนเจาะและหนอนคืบกะหล่ำ ควรหมั่นตรวจสอบและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ โดยใช้สารชีวภัณฑ์หากต้องการทำเกษตรอินทรีย์

คุณค่าของการปลูกผักตระกูลกะหล่ำไว้กินเองที่บ้าน
การปลูกผักตระกูลกะหล่ำไว้รับประทานเองที่บ้านนั้นมีข้อดีมากมาย ทั้งได้ผักสดใหม่ที่ปลอดสารเคมี มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย
ผักตระกูลกะหล่ำเป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะสารต้านมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ และสารเสริมภูมิคุ้มกัน การรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือเมื่อปลูกเอง คุณจะมั่นใจได้ว่าผักของคุณปลอดสารเคมีและสดใหม่ ซึ่งหมายถึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
สำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด การปลูกในกระถางก็เป็นทางเลือกที่ดี ผักบางชนิดเช่น บรอกโคลี กะหล่ำดอก หรือผักเคล สามารถปลูกในกระถางขนาดกลางถึงใหญ่ได้ โดยเฉพาะผักเคลที่สามารถเก็บใบล่างกินได้ทีละใบ ทำให้เหมาะกับการปลูกในพื้นที่จำกัด
การปลูกผักตระกูลกะหล่ำไม่ยากอย่างที่คิด เพียงเข้าใจความต้องการพื้นฐานของพืชแต่ละชนิด ให้น้ำและปุ๋ยที่เหมาะสม ก็จะสามารถปลูกผักตระกูลกะหล่ำไว้รับประทานเองได้อย่างง่ายดาย สร้างทั้งความสุขและสุขภาพที่ดีให้กับชีวิต
#สาระ #ผักตระกูลกะหล่ำ #ประโยชน์ผักกะหล่ำ #ปลูกผักกินเอง #บรอกโคลี #กะหล่ำดอก #กะหล่ำปลี #ผักเคล #อาหารเพื่อสุขภาพ #ต้านมะเร็ง #วิธีปลูกผัก