KAVE playground

อะไรคือความลงตัวระหว่างความหรูหราของ Beaux Arts และความยั่งยืนของ Biophilic Design?

การผสมผสานระหว่างความงดงามอลังการของสถาปัตยกรรมแบบ Beaux Arts กับแนวคิดการออกแบบที่เชื่อมโยงธรรมชาติอย่าง Biophilic Design กำลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ในวงการสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่อยู่อาศัย การนำจุดเด่นของความคลาสสิกและหรูหรามาผสานกับความยั่งยืนและการส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ช่วยสร้างสมดุลที่ลงตัวสำหรับการใช้ชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาคุณสำรวจความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานแนวคิดทั้งสองเข้าด้วยกัน และทำไมจึงกลายเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ยุคใหม่

ทำความรู้จักกับสถาปัตยกรรม Beaux Arts: ความหรูหราที่ยืนหยัดข้ามกาลเวลา

Beaux Arts หรือสถาปัตยกรรมวิจิตรศิลป์ เป็นรูปแบบการออกแบบที่เฟื่องฟูในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีต้นกำเนิดจากโรงเรียนสถาปัตยกรรม École des Beaux-Arts แห่งกรุงปารีส สถาปัตยกรรมแนวนี้เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างศิลปะกรีก-โรมัน ผสานกับอิทธิพลศิลปะเรเนซองส์และบารอก สร้างความโดดเด่นด้วยความสง่างามและความประณีตในทุกรายละเอียด

สถาปัตยกรรม Beaux Arts มีลักษณะเด่นที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การเน้นความสมมาตรแบบคลาสสิก การออกแบบที่อลังการ และการประดับตกแต่งที่วิจิตรบรรจง อาคารในสไตล์นี้มักมีการยกระดับชั้นแรกให้สูงเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ มีบานหน้าต่างและประตูที่โค้งมน และใช้วัสดุคุณภาพสูงอย่างหินปูน หินอ่อน และทองคำในการตกแต่ง

ด้วยความงดงามและความยิ่งใหญ่ สถาปัตยกรรม Beaux Arts จึงถูกนำไปใช้ในการออกแบบอาคารสำคัญทั้งในยุโรปและอเมริกา เช่น โรงอุปรากร Palais Garnier ในฝรั่งเศส ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของยุค และหอสมุดรัฐสภาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบนี้

ความงามของสถาปัตยกรรม Beaux Arts ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โครงสร้างภายนอก แต่ยังมีอิทธิพลต่อการออกแบบภายในที่เน้นความหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นบันไดใหญ่ เพดานที่ประดับด้วยลวดลายวิจิตร โคมไฟระย้า และพื้นหินอ่อนที่สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งและรสนิยมชั้นสูง

Biophilic Design: แนวคิดการออกแบบที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ

Biophilic Design เป็นแนวคิดการออกแบบที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้น คำว่า “Biophilia” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า “รักชีวิต” ซึ่งถูกนำมาใช้โดยนักจิตวิทยาชื่อ Eric Fromm ในปี 1964 และต่อมาได้รับการพัฒนาโดยศาสตราจารย์ Stephen Kellert แห่งมหาวิทยาลัยเยล ผู้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนและผู้พัฒนาแนวคิดการออกแบบ Biophilic

แนวคิด Biophilic Design เชื่อว่ามนุษย์มีความเชื่อมโยงโดยธรรมชาติกับสิ่งมีชีวิตและระบบธรรมชาติรอบตัว การนำองค์ประกอบจากธรรมชาติมาผสมผสานในการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยและทำงาน สามารถเสริมสร้างสุขภาวะทางกายและจิตใจของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศาสตราจารย์ Kellert ได้กำหนดหลักการสำคัญของ Biophilic Design ไว้ 6 ประการ ได้แก่

  1. องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม – การนำพืชพรรณ น้ำ แสงแดด และวัสดุธรรมชาติมาใช้ในการออกแบบ
  2. รูปทรงและรูปร่างจากธรรมชาติ – การจำลองโครงสร้างทางชีวภาพ พืช และสัตว์
  3. รูปแบบและกระบวนการทางธรรมชาติ – การนำลักษณะการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมาใช้ในการออกแบบ
  4. แสงและพื้นที่ – การใช้แสงธรรมชาติและการจัดวางพื้นที่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
  5. ความสัมพันธ์กับสถานที่ – การเชื่อมโยงกับระบบนิเวศท้องถิ่น
  6. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ – การส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

งานวิจัยจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่า Biophilic Design มีประโยชน์หลายประการ เช่น การลดความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการเยียวยาและฟื้นฟู และมีผลเชิงบวกต่ออารมณ์และสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัย

การผสมผสานระหว่าง Beaux Arts และ Biophilic Design ในงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

การนำเอาแนวคิดสถาปัตยกรรม Beaux Arts อันหรูหรามาผสมผสานกับหลักการของ Biophilic Design ถือเป็นการสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างความคลาสสิกกับความร่วมสมัย ความงดงามกับความยั่งยืน ความสง่างามกับความผ่อนคลาย

ในการผสมผสานทั้งสองแนวคิดเข้าด้วยกัน สถาปนิกและนักออกแบบได้นำเอาจุดเด่นของแต่ละรูปแบบมาใช้อย่างชาญฉลาด จากสถาปัตยกรรม Beaux Arts พวกเขานำเอาความสมมาตร ความประณีตในรายละเอียด และความยิ่งใหญ่มาใช้ ขณะที่จาก Biophilic Design พวกเขานำแนวคิดการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การใช้แสงธรรมชาติ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาวะมาประยุกต์ใช้

ตัวอย่างการผสมผสานที่น่าสนใจ เช่น การนำองค์ประกอบของธรรมชาติอย่างน้ำและพืชพรรณมาจัดวางในพื้นที่ที่มีโครงสร้างสมมาตรแบบคลาสสิก เช่นที่เห็นได้ใน Barbican Centre ในกรุงลอนดอน หรือการใช้กระจกขนาดใหญ่เพื่อรับแสงธรรมชาติ ที่มีกรอบประดับตกแต่งอย่างวิจิตรแบบ Beaux Arts

หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการผสมผสานแนวคิดทั้งสองคือ The Jewel ในสนามบินชางงีของสิงคโปร์ ที่นำความอลังการของสถาปัตยกรรรมมาผสานกับน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก และพื้นที่สีเขียวมากมาย สร้างให้เกิดเป็นพื้นที่ที่ทั้งน่าประทับใจและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ โครงการ Bosco Verticale ในเมืองมิลาน อิตาลี ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยเป็นอาคารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายเรื่อง “The Baron in the Trees” ซึ่งมีการปลูกต้นไม้ประมาณ 900 ต้นบนระเบียงรอบๆ อาคาร สร้างความสมดุลระหว่างความทันสมัยของตัวอาคารกับความเป็นธรรมชาติของพืชพรรณ

ทำไมการผสมผสาน Beaux Arts และ Biophilic Design จึงเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่

การผสมผสานระหว่าง Beaux Arts และ Biophilic Design สร้างความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความหรูหราและความยั่งยืน ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ที่ไม่เพียงแค่ต้องการความสวยงามและความสะดวกสบาย แต่ยังคำนึงถึงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย

ที่อยู่อาศัยที่ออกแบบตามแนวคิดผสมผสานนี้มีข้อดีหลายประการ เช่น:

  1. ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี – การอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติช่วยลดความเครียด เพิ่มความผ่อนคลาย และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี ในขณะที่ความสวยงามของสถาปัตยกรรม Beaux Arts สร้างความภาคภูมิใจและความพึงพอใจให้แก่ผู้อยู่อาศัย
  2. ความยั่งยืนและประสิทธิภาพพลังงาน – การออกแบบตามแนวคิด Biophilic ช่วยประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะการใช้แสงธรรมชาติและการระบายอากาศตามธรรมชาติ ซึ่งลดการพึ่งพาระบบปรับอากาศและแสงสว่างจากไฟฟ้า
  3. การสร้างพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ – การผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและธรรมชาติช่วยสร้างบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร
  4. มูลค่าที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว – ที่อยู่อาศัยที่ออกแบบอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนมักมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว

ตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้คือโครงการบ้านเดี่ยว The Palazzo ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury ที่ผสมผสานความงดงามของสถาปัตยกรรม Beaux Arts เข้ากับแนวคิด Biophilic Design อย่างลงตัว

โครงการนี้โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การใช้สัดส่วนทองคำกับหน้าบ้านตามหลักสมมาตร ไปจนถึงรายละเอียดภายในที่งดงามตามแบบศิลปะกรีก-โรมัน พร้อมกับการผสมผสานพื้นที่สีเขียวเข้ากับสถาปัตยกรรม เพื่อเพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลายให้กับผู้อยู่อาศัย

แนวโน้มอนาคตของการผสมผสาน Beaux Arts และ Biophilic Design

การผสมผสานระหว่าง Beaux Arts และ Biophilic Design มีแนวโน้มที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไปในอนาคต โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ผลักดันให้เกิดการพัฒนา ได้แก่:

  1. การตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี – ผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพมากขึ้น การออกแบบที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
  2. นวัตกรรมด้านวัสดุและเทคโนโลยี – การพัฒนาวัสดุและเทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์งานออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราและความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น เช่น วัสดุรักษ์โลกที่มีความสวยงาม หรือระบบอัจฉริยะที่ช่วยจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร
  3. กระแสความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – ความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้ผู้คนหันมาสนใจการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การผสมผสาน Biophilic Design กับสถาปัตยกรรมหรูหราจึงเป็นทางออกที่ลงตัว

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ของการผสมผสานทั้งสองแนวคิด เช่น อาคารอัจฉริยะที่มีการออกแบบแบบ Beaux Arts แต่ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการระบบนิเวศภายในอาคาร หรือการนำเทคโนโลยีความจริงเสมือน (VR) และความจริงเสริม (AR) มาช่วยในการออกแบบและนำเสนอแนวคิดการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความเป็นธรรมชาติ

ทั้งนี้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปเพียงใด หัวใจสำคัญของการผสมผสาน Beaux Arts และ Biophilic Design ยังคงอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความงดงามทางสถาปัตยกรรมกับการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เพื่อสร้างพื้นที่ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนอีกด้วย

สรุป

การผสมผสานความหรูหราของสถาปัตยกรรม Beaux Arts เข้ากับความยั่งยืนของ Biophilic Design สร้างความลงตัวที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความสวยงาม ความสะดวกสบาย และความเป็นอยู่ที่ดี สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่หรูหราและงดงาม แต่ยังเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยกับธรรมชาติ ช่วยลดความเครียด ส่งเสริมสุขภาพ และเพิ่มคุณภาพชีวิต

ความสมดุลระหว่าง Beaux Arts และ Biophilic Design ได้กลายเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความคลาสสิกกับความร่วมสมัย ความหรูหรากับความยั่งยืน สร้างสรรค์พื้นที่ที่ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นงานศิลปะที่มีชีวิตอีกด้วย


#สาระ #การเงิน #BeauxArts #BiophilicDesign #สถาปัตยกรรม #การออกแบบยั่งยืน #ที่อยู่อาศัยลักชัวรี่ #ความสมดุล #คุณภาพชีวิต #ธรรมชาติ #ความคลาสสิก #นวัตกรรมการออกแบบ

อ่านเพิ่ม
Sidebar
The Palm (copy)
รีวิวโครงการ
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
รีวิว ศุภาลัย วิลล์ ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้าน Design ใหม่ พื้นที่ใหญ่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทุก Lifestyle เป็นส่วนตัวเพียง 66 แปลง ส่วนกลางครบครัน บนทำเลที่โดดเด่น โซนปิ่นเกล้า-ศาลายา
Review
Loading..