The Palm (copy)

การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนคืออะไร และทำไมควรให้ความสำคัญในปัจจุบัน?

การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนหรือ Sustainable Design ไม่ใช่เพียงเทรนด์การแต่งบ้านชั่วคราว แต่เป็นแนวคิดที่คำนึงถึงระบบนิเวศและความยั่งยืนของธรรมชาติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่และรักษาทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน หลักการนี้เน้นการออกแบบและแต่งบ้านโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นหลัก ทั้งเรื่องของพื้นที่ สภาพภูมิอากาศ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานทั้งในระหว่างการก่อสร้างและการอยู่อาศัย

แนวคิดการออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการของมนุษย์กับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยผู้อยู่อาศัยยังคงได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ทำไมเทรนด์การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนจึงกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ?

กระแสของการออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักมาจากปัญหาภาวะโลกรวน (Climate Change) ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทั้งอุณหภูมิที่แปรปรวน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามฤดูกาล และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมายังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนมากขึ้น เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ทำให้ความต้องการมีพื้นที่ที่น่าอยู่ เย็นสบาย และเป็นมิตรกับสุขภาพมีมากขึ้นกว่าเดิม บ้านจึงไม่ได้เป็นเพียงที่พักอาศัยหลังเลิกงานอีกต่อไป แต่กลายเป็นพื้นที่สำหรับการทำงาน การเรียน และกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนหันมาสนใจการออกแบบบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว รวมถึงมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

จะปรับบ้านให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ด้วยเทคนิคง่ายๆ 7 ประการ?

การปรับบ้านให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องรื้อและสร้างใหม่ทั้งหมด เพียงปรับเปลี่ยนบางส่วนก็สามารถทำให้บ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับธรรมชาติได้มากขึ้น ด้วยเทคนิคต่อไปนี้:

1. ออกแบบหน้าต่างและช่องแสงให้รับแสงธรรมชาติ

การเพิ่มหน้าต่างหรือช่องแสงขนาดใหญ่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในบ้านได้มากขึ้น ลดการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน และยังช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีอีกด้วย ควรออกแบบให้ช่องเปิดกว้างและวางในตำแหน่งที่ตรงกัน เพื่อให้ลมพัดผ่านได้สะดวก อย่างไรก็ตาม ควรมีชายคายื่นยาวหรือกันสาดเพื่อป้องกันความร้อนและฝนสาดเข้ามา

2. ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์

ประเทศไทยมีแสงแดดตลอดทั้งปี การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบนี้จะกักเก็บพลังงานในช่วงกลางวันและนำมาใช้เป็นกระแสไฟฟ้าทั้งในกลางวันและกลางคืน ช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาวและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้า

3. เพิ่มพื้นที่สีเขียวและใช้วัสดุจากธรรมชาติ

การเพิ่มต้นไม้ทั้งภายในและภายนอกบ้านช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและออกซิเจนในอากาศ ลดอุณหภูมิโดยรอบ และสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น พื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือผ้าธรรมชาติ ยังช่วยลดการใช้สารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

4. เลือกใช้โทนสีที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ

การเลือกใช้สีโทนธรรมชาติ (Earth Tone) หรือโทนเย็นในการตกแต่งบ้านจะช่วยให้บ้านดูเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสบายตา ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบและมีความสุขในการอยู่อาศัย

5. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคาและผนังจะช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้าน ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นลง และลดการใช้เครื่องปรับอากาศ บางบ้านอาจใช้วิธีทำผนังสองชั้นให้มีช่องว่างตรงกลางเพื่อให้อากาศไหลผ่านได้ ซึ่งช่วยเป็นฉนวนกันความร้อนอีกชั้นหนึ่ง

6. เลือกวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การเลือกวัสดุที่ผลิตจากธรรมชาติหรือวัสดุรีไซเคิลจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดขยะจากการก่อสร้าง ควรเลือกวัสดุที่มีความทนทานสูง อายุการใช้งานยาวนาน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น ไม้ที่ได้รับการรับรอง กระเบื้องที่ช่วยสะท้อนความร้อน หรือสีทาบ้านที่ไม่มีสารระเหยที่เป็นอันตราย

7. เลือกการรีโนเวทแทนการรื้อสร้างใหม่

การปรับปรุงบ้านเดิมแทนการรื้อและสร้างใหม่จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานในการก่อสร้าง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตวัสดุและการก่อสร้าง การรีโนเวทยังมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการสร้างใหม่ ทำให้เป็นทางเลือกที่ประหยัดทั้งเงินและทรัพยากร

Passive Design คืออะไร และมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานอย่างไร?

Passive Design หรือการออกแบบเชิงรับ คือการออกแบบอาคารให้ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องใช้เครื่องกลหรือพลังงานมากเกินความจำเป็น เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก โดยมุ่งให้คนในบ้านอยู่อย่างสบายที่สุด ด้วยการอาศัยธรรมชาติและออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ ทิศทางลม และแสงแดด

หลักการของ Passive Design มีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิประเทศ ในประเทศเขตหนาว จะเน้นการออกแบบเพื่อกักเก็บความร้อน ส่วนในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย จะเน้นการออกแบบเพื่อระบายความร้อนและสร้างความรู้สึกเย็นสบาย

หลักการสำคัญของ Passive Design ในประเทศไทย มีดังนี้:

  1. การวางผังบ้านตามทิศทางแสงแดดและลม: วางแนวด้านยาวของบ้านในแนวตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้ด้านที่รับแสงแดดมีน้อยที่สุด และรับลมประจำฤดูกาลได้ดี
  2. การออกแบบช่องเปิดและชายคา: มีช่องเปิดกว้างและวางในตำแหน่งที่ตรงกันเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี พร้อมชายคายื่นยาวเพื่อป้องกันแสงแดดและฝนสาด
  3. การใช้ฉนวนกันความร้อน: ติดตั้งฉนวนที่หลังคาและผนังเพื่อลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน บางกรณีอาจทำเปลือกอาคารเป็นสองชั้นให้มีช่องว่างตรงกลางเพื่อเป็นฉนวนกันความร้อนอีกชั้นหนึ่ง
  4. การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม: เลือกวัสดุที่ช่วยสะท้อนความร้อน ระบายความร้อนได้ดี หรือมีความหนาพอที่จะเป็นฉนวนได้ดี
  5. การสร้างสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้เย็น: ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ทำสระน้ำหรือบ่อน้ำ ลดพื้นที่ดาดแข็งที่สะสมความร้อน

การออกแบบบ้านตามหลัก Passive Design นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว สร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

จะเลือกวัสดุก่อสร้างอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การอยู่อาศัย?

การเลือกวัสดุก่อสร้างมีบทบาทสำคัญในการออกแบบบ้านอย่างยั่งยืน วัสดุที่ดีควรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีความทนทาน และช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ต่อไปนี้คือแนวทางการเลือกวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม:

วัสดุจากธรรมชาติและวัสดุรีไซเคิล

วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ที่ได้รับการรับรองจากแหล่งที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน หรือวัสดุรีไซเคิล จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปริมาณขยะจากการก่อสร้าง วัสดุเหล่านี้มักมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำกว่าวัสดุที่ผลิตจากกระบวนการอุตสาหกรรมหนัก

วัสดุที่มีคุณสมบัติในการเป็นฉนวน

การเลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติในการเป็นฉนวนจะช่วยลดการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน เช่น อิฐมวลเบา ผนังคอนกรีตกันความร้อน หรือกระจกฉนวนสองชั้น วัสดุเหล่านี้จะช่วยรักษาอุณหภูมิภายในบ้านให้เย็นสบาย ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ

วัสดุหลังคาที่สะท้อนความร้อน

หลังคาเป็นส่วนที่รับความร้อนจากแสงแดดโดยตรง การเลือกวัสดุหลังคาที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนหรือระบายความร้อนได้ดีจะช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน เช่น กระเบื้องสะท้อนความร้อน หลังคาเขียว หรือการทำหลังคาสองชั้นให้มีช่องว่างระบายอากาศ

สีทาบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สีทาบ้านควรเป็นสีที่มีส่วนผสมของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ต่ำ หรือไม่มีเลย เพื่อลดการปล่อยสารพิษสู่อากาศและเป็นมิตรกับสุขภาพของผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ ควรเลือกโทนสีอ่อนสำหรับภายนอกบ้านเพื่อสะท้อนความร้อนได้ดี

วัสดุที่มีความทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน

การเลือกวัสดุที่มีความทนทานและอายุการใช้งานยาวนานจะช่วยลดการซ่อมแซมและเปลี่ยนวัสดุในอนาคต ช่วยประหยัดทรัพยากรและลดขยะจากการรื้อถอน แม้ว่าวัสดุเหล่านี้อาจมีราคาสูงกว่าในตอนแรก แต่จะคุ้มค่าในระยะยาว

การพัฒนาบ้านแบบ Zero Energy House คืออะไร และมีข้อดีอย่างไร?

บ้านพลังงานเป็นศูนย์ หรือ Zero Energy House (ZEH) คือบ้านหรืออาคารที่ออกแบบให้ใช้พลังงานน้อยมาก และสามารถผลิตพลังงานทดแทนได้เองเพียงพอกับความต้องการใช้งาน ทำให้โดยรวมแล้วไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอก หรือใช้น้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์

หลักการสำคัญของบ้าน Zero Energy House มีดังนี้:

  1. การออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงาน: ใช้หลักการ Passive Design ในการออกแบบบ้านให้รับแสงธรรมชาติอย่างเหมาะสม มีการถ่ายเทอากาศดี และมีฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ
  2. การใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน: เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ระบบแสงสว่าง LED และระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน
  3. การผลิตพลังงานทดแทน: ติดตั้งระบบผลิตพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม หรือระบบผลิตก๊าซชีวภาพ เพื่อผลิตพลังงานใช้เองในบ้าน
  4. การใช้เทคโนโลยีควบคุมพลังงานอัจฉริยะ: ติดตั้งระบบควบคุมการใช้พลังงานอัจฉริยะที่สามารถตรวจสอบและปรับการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ข้อดีของบ้าน Zero Energy House มีหลายประการ ดังนี้:

  1. ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว: แม้จะมีการลงทุนสูงในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะประหยัดค่าไฟฟ้าได้มาก
  2. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานฟอสซิล และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
  3. เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน: บ้านสามารถผลิตพลังงานใช้เองได้ ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานภายนอกมากนัก ทำให้มีความมั่นคงด้านพลังงานสูง
  4. เพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน: บ้านที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมักมีมูลค่าสูงขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์
  5. สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี: บ้านที่ออกแบบอย่างยั่งยืนมักมีคุณภาพอากาศภายในดี แสงสว่างเพียงพอ และอุณหภูมิเหมาะสม ส่งผลดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้อาศัย

สรุป

การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นแนวทางที่จำเป็นสำหรับอนาคตของการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำหลักการ Passive Design มาใช้ในการออกแบบบ้าน การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ และการใช้พลังงานทดแทน ล้วนเป็นวิธีการที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย

แม้ว่าการลงทุนเริ่มต้นอาจสูงกว่าการสร้างบ้านแบบทั่วไป แต่ในระยะยาวจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนที่จะช่วยกันสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต


#สาระ #การเงิน #SustainableHome #PassiveDesign #GreenLiving #EcoFriendly #ZeroEnergyHouse #ประหยัดพลังงาน #บ้านยั่งยืน #รักษ์โลก #ธรรมชาติบำบัด

อ่านเพิ่ม
Sidebar
The Palm (copy)
บทความล่าสุด
จะแต่งบ้านทาวน์โฮมอย่างไรให้ดูกว้างและน่าอยู่มากขึ้น ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม?
แต่งบ้าน
การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนคืออะไร และทำไมควรให้ความสำคัญในปัจจุบัน?
แต่งบ้าน
การตกแต่งบ้านสไตล์เซนเป็นอย่างไร? ทำไมถึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน?
แต่งบ้าน
เอสซีจี ต่อยอดความสำเร็จจากงาน INTERCEM Asia 2025 ตอกย้ำบทบาทผู้นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำบนเวทีโลก เติบโตอย่างมั่นคง สมดุล และยั่งยืน
ข่าวสาร
‘นายณ์ เอสเตท’ เปิดตัวโครงการใหม่ ‘ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน’ ชูคอนเซ็ปต์ ‘ทรอปิคอล โมเดิร์นสไตล์’ เรียบง่ายแต่สวยนาน (Timeless) ตอบโจทย์ทุกมิติการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน
ข่าวสาร
รีวิวโครงการ
รีวิว เดอะ ซิกเนเจอร์ สุขุมวิท 77 (The Signature Sukhumvit 77) บ้านหรูระดับ Super Luxury บททำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง
Review
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
Loading..