“บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต หรือ STECH” โชว์ผลประกอบการปี 67 อัตรากำไรขั้นต้นโดดเด่นแตะ 20.85% หลังเน้นบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่รายได้อยู่ที่ 2,082.36 ล้านบาท เติบโต 5.73% ผลจากได้ส่งมอบงานในปริมาณที่สูง และมียอดสั่งซื้อในมือแน่น แม้กำไรสุทธิ อยู่ที่ 117.31 ล้านบาท ลดลง จากต้นทุนการจัดจำหน่าย-ค่าใช้จ่ายบริหาร-ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังคงเดินหน้าตอบแทนผู้ถือหุ้น บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลในอัตรา 0.034 บาท/หุ้น พร้อมประเมินปี 68 STECH มั่นใจเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้โต 5-8% ลุยประมูลโครงการใหม่เพื่อเพิ่ม Backlog จากปัจจุบันอยู่ที่ 700 ล้านบาท รับการลงทุนภาครัฐ-เอกชน กระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้ง การเข้าลงทุนในวังคอนกรีต ขยายฐานสู่ภาคใต้ พร้อมรับรู้ปีนี้เต็มปี

นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง เช่น เสาเข็ม เสาไฟฟ้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” ที่มีจุดเด่นโรงงานผลิตลวดใช้กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมบริการขนส่งผลิตภัณฑ์บริการตอกเสาเข็ม และบริการรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก เปิดเผยผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้ 2,082.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.93 ล้านบาท หรือ 5.73% จากการส่งมอบงานในปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดสั่งซื้อที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้น 13.84% มาอยู่ที่ 2,039.54 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากงานก่อสร้างลดลงเล็กน้อยเป็น 42.82 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบโครงการแล้วเสร็จจำนวน 2 โครงการในช่วงไตรมาส 2/2567 และไตรมาสที่ 4/2567 ส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากงานโครงการลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี ปี 2567 บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประประสิทธิภาพ ทั้งด้านต้นทุนการขายและบริการ ซึ่งส่งผลให้ STECH มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นมาอยู่ในระดับ 20.85% เมื่อเทียบกับปี 2566 อยู่ที่ 18.95% สำหรับกำไรสุทธิงวดปี 2567 อยู่ที่ 117.31 ล้านบาท ลดลง 10.27 ล้านบาท หรือ 8.04% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ที่ 127.58 ล้านบาท โดยในปี 2567 มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.6% เนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนการจัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายบริหาร รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นและสะท้อนความเชื่อมั่นการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด จำนวน 24.65 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.034 บาท โดยกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อมีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 13 มีนาคม 2568 โดยจะมีการจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 นี้
สำหรับเป้าหมายและแผนงานปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตจากปีก่อน 5-8% เนื่องจากบริษัทยังมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 700 ล้านบาท รวมทั้งยังพร้อมเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ของปีนี้อย่างต่อเนื่อง จากงานภาครัฐที่คาดว่าจะต้องมีการลงทุนใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตามแผน STECH พร้อมเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชนหลายโครงการ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ที่มีโรงงานจำนวน 10 แห่ง ครอบคลุมหลายภูมิภาคทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา STECH ได้เข้าไปลงทุนใน บริษัท วังคอนกรีต จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต ประเภทเสาเข็ม และแผ่นพื้น เพื่อขยายธุรกิจไปยังภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทฯ ยังไม่มีโรงงาน ทำให้เพิ่มช่องทางในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้อีกช่องทาง อีกทั้ง ภาคใต้มีแผนเมกะโปรเจกต์หรือโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ทั้งโครงการกำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาและอนุมัติโครงการ เป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการขยายฐานให้กว้าง และจะรับรู้ผลงานในปีนี้เข้ามาเต็มปี
สำหรับอีกจุดเด่นสำคัญของ STECH โดยกลุ่มบริษัทมีโรงงานและกระบวนการผลิตลวดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่ โดยไม่ต้องใช้น้ำกรดซึ่งเป็นกรดไฮโดรคลอริคเข้มข้นในการกัดลวดโลหะให้สะอาดเหมือนในอดีต จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งพร้อมจัดจำหน่ายเสาเข็มขนาดเล็ก (Micropile) ให้กับลูกค้าใน รูปแบบ B2C ซึ่งเป็นการจำหน่ายให้กับ ผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือเจ้าของบ้านที่ต้องการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน ไม่ให้ทรุดตัว เพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับ STECH ในอนาคต
“ภาพรวมตลาดคอนกรีตอัดแรงในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการสนับสนุนของภาครัฐที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างถนน สะพาน และอาคารขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ดี STECH มุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้พัฒนาคอนกรีตอัดแรง และการผลิตลวดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้นในอนาคต” นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้าย