จากรายงานเศรษฐกิจของประเทศไทยของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 มีการขยายตัวของ GDP เพียงร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาส 4 ปี 2566 ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวจากภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคเกษตรและหมวดอุตสาหกรรมลดลง ด้านการใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการ รวมไปถึงการบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอลง ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.0 – 3.0
สำหรับภาวะอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าด้านอุปทานใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน มีจำนวนโครงการลดลงร้อยละ -37.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2566 ส่งผลให้ใน
หน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรลดลงเกือบทุกประเภท ยกเว้นประเภทบ้านเดี่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ร้อยละ 44.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาลงแต่ละพื้นที่พบว่า จังหวัดชลบุรีมีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.8 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 53.3 (เพิ่มขึ้นในประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์) รองลงมาเป็นจังหวัดระยอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.6 มีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ -45.8 (ลดลงเกือบทุกประเภทยกเว้นประเภทบ้านเดี่ยว) และจังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.6 มีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ -82.4 (ลดลงทุกประเภท)
ส่วนอุปทานข้อมูลพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าภาพรวมลดลงร้อยละ -8.1 โดยเป็นการลดลงของ พื้นที่อนุญาตก่อสร้างแนวราบร้อยละ -13.5 (ลดลงเกือบทุกประเภทยกเว้นประเภทบ้านแฝด) ในขณะที่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยของอาคารชุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 112.7 โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
สำหรับในด้านอุปสงค์ที่พบว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีการหดตัวทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ -16.7 และร้อยละ -14.3 ตามลำดับ พบว่าในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นบ้านแนวราบเกือบ 3 ใน 4 ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด และเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ (การโอนจากนิติบุคคล) ประมาณร้อยละ 43 ของยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด
จากอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงในไตรมาส 1 ปี 2567 ทั้งนี้อาจจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัจจัยลบ ในปี 2566 ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.50 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2567 และยังมีแนวโน้มคงตัวในระดับสูงต่อไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ การยกเลิกการผ่อนปรนมาตรการ LTV ของ ธปท. ราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และค่าครองชีพที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน รวมถึงภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าร้อยละ 90 แต่ถึงอย่างไรยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญจากรัฐบาลที่ออกมาตรการมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก
ร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และการจดจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทที่ครอบคลุมทั้งบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสองมาจนถึงเดือนมีนาคม 2567 และเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 รัฐบาลมีการออกมาตรการมากระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 1 เหลือประเภทละร้อยละ 0.01 สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยเพิ่มราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์จากเดิมที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปเป็นวงเงินที่ไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งมีผลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
- 1. สถานการณ์ด้านอุปทานที่อยู่อาศัย
1.1 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน
ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน
32 โครงการ 3,370 หน่วย จำนวนโครงการลดลงร้อยละ -37.3 และมีจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -21.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวนโครงการ 51 โครงการ และจำนวนหน่วย 4,285 หน่วย
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดในพื้นที่ EEC ไตรมาส 1 ปี 2567 จังหวัดที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด เรียงลำดับได้ ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 2,014 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.8 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,314 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 1,546 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.3 รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 266 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 350.8 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 180 หน่วย ลดลงร้อยละ -20.4
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 1,233 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.6 มีใบอนุญาตจัดสรรลดลง
ร้อยละ -45.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 2,274หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 736 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 96.8 รองลงมาเป็นบ้านแฝดจำนวน 312 หน่วย ลดลง
ร้อยละ -60.4 และเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 185 หน่วย ลดลงร้อยละ -82.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 123 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.6 มีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ -82.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 697 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภท
บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 85 หน่วย ลดลงร้อยละ -73.4 รองลงมาเป็นบ้านแฝดจำนวน 38 หน่วย ลดลง
ร้อยละ -75.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 4)
เมื่อพิจารณาเป็นอำเภอ พบว่า อำเภอที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดใน 5 อันดับแรก ในพื้นที่ EEC ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.0 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 ได้แก่ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 816 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.2 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 286.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 211 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุด จำนวน 623 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 219.5 รองลงมาเป็นประเภทบ้านแฝดจำนวน 112 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 700.0 และเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 81 หน่วย เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3,950.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ
อันดับ 2 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 525 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.6 ลดลง
ร้อยละ -48.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,009 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภท
ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 448 หน่วย ลดลงร้อยละ -39.5 รองลงมาเป็นบ้านแฝดจำนวน 50 หน่วย ลดลง
ร้อยละ -70.6 และเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 21 หน่วย ลดลงร้อยละ -56.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ
ปี 2566 ตามลำดับ
อันดับ 3 อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง มีจำนวน 480 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.2 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 38.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 346 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภท
บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 412 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 352.7 รองลงมาเป็นบ้านแฝดจำนวน 68 หน่วย ลดลง
ร้อยละ -62.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ
อันดับ 4 อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 355 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.5 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด แต่ไม่พบใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในไตรมาส 1 ปี 2566
อันดับ 5 อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีจำนวน 352 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.4 ลดลง
ร้อยละ -41.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 604 หน่วย เป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 185 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 103.3 รองลงมาเป็นบ้านแฝดจำนวน 102 หน่วย ลดลง
ร้อยละ -59.8 และเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 65 หน่วย ลดลงร้อยละ -74.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ
2 พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ทั้งที่เป็นบ้านที่ประชาชนสร้างเอง บ้านในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 940,343 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -8.1
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 แบ่งออกเป็นพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 847,142 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -13.5 และอาคารชุดจำนวนประมาณ 93,201 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 112.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในไตรมาส 1 ปี 2567 จังหวัดที่มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 602,489 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.1 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 595,603 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 540,473 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 341,079 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -17.0 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 96,089 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7 และเป็นบ้านแฝดประมาณ 94,029 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 91.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวนประมาณ 62,017 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีพื้นที่ประมาณ 224,230 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.8 ของ
พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด ลดลงร้อยละ -3.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 232,949 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 193,046 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้าง
ที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 161,763 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 21,965 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -69.0 และเป็นบ้านแฝดประมาณ 6,122 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวนประมาณ 31,184 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 208.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่ประมาณ 113,624 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.1 ของ
พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างลดลงมากถึงร้อยละ -41.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 194,690 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 113,624
ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 96,837 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -40.3 รองลงมาเป็นอาคารพาณิชย์ประมาณ 8,465 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 643.8 และเป็นบ้านแฝดประมาณ 6,444 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2567 (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 8)
เมื่อพิจารณาเป็นรายอำเภอ พบว่า อำเภอที่มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างมากที่สุดใน 5 อันดับแรกในพื้นที่ EEC
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.4 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 121,265 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 12.9 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 145,880 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 121,265 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 77,796 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -16.0 รองลงมาเป็นบ้านแฝดประมาณ 42,713 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 298.8 และเป็นอาคารพาณิชย์ประมาณ 540 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -74.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2567
อันดับ 2 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 116,246 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 12.4 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้าง 117,633 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 116,246 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 76,904 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -12.3 รองลงมาเป็นบ้านแฝดประมาณ 21,110 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.5 และเป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 16,950 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 324.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2567
อันดับ 3 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 89,009 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.5 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้าง 99,250 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน
57,825 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 23,336 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -45.4 รองลงมาเป็นบ้านแฝดประมาณ 19,205 ตารางเมตร ลดลง
ร้อยละ -13.5 และเป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 14,157 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -41.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีพื้นที่ประมาณ 31,184 ตารางเมตร แต่ไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
อันดับ 4 อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ประมาณ 79,511 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 8.5 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -22.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้าง 101,937 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 79,511 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดประมาณ 67,608 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 6,521 ตารางเมตร ลดลง
ร้อยละ -81.8 และเป็นบ้านแฝดประมาณ 4,962 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,252.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2567
อันดับ 5 อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 77,772 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.3 ของพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 187.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้าง 27,054 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 77,772 ตารางเมตร พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดประมาณ 50,237 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,586.4 รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 25,517 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 33.6 และเป็นอาคารพาณิชย์ประมาณ 2,019 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 80.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2567 (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 9)
- ด้านอุปสงค์ที่อยู่อาศัย
2.1 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย
ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC จำนวน 10,147 หน่วย มีมูลค่า 25,756 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ -16.7 และร้อยละ -14.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 มีจำนวน 12,185 หน่วย และมูลค่า 30,070 ล้านบาท
ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุด จำนวน 6,587 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.9 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ลดลงร้อยละ -22.1 และมีมูลค่าการโอน 17,077 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -16.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีจำนวน 8,452 หน่วย และมูลค่า 20,439 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีจำนวน 3,560 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.1 ลดลงร้อยละ -4.6 และมูลค่า 8,679 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีจำนวน 3,733 หน่วย และมูลค่า 9,631 ล้านบาท (ดูแผนภูมิที่ 10 และ 11)
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ (หรือที่อยู่อาศัยที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 4,394 หน่วย และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง (ที่อยู่อาศัยที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 5,753 หน่วย ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 43:57 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ (หรือที่อยู่อาศัยที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 13,390 ล้านบาท และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง (ที่อยู่อาศัยที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 12,366 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนมูลค่าที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองเท่ากับ 52 : 48
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยเรียงตามมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ 7,235 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.7 และมีมูลค่า 19,352 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 8,198 หน่วย
และมีมูลค่า 21,436 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 3,932 หน่วย มีมูลค่า 11,041
ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 1,634 หน่วย มีมูลค่า 5,333 ล้านบาท
ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 3,303 หน่วย มีมูลค่า 8,311 ล้านบาท
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 2,092 หน่วย ลดลงร้อยละ -27.9 และมีมูลค่า 4,469 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -28.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 2,900 หน่วย และมีมูลค่า 6,211 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 1,876 หน่วย มีมูลค่า 4,151 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการ
โอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 1,011 หน่วย มีมูลค่า 2,602 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 216 หน่วย มีมูลค่า 318 ล้านบาท
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 820 หน่วย ลดลงร้อยละ -24.6 และมีมูลค่า 1,935 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -20.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,087 หน่วย และมีมูลค่า 2,423 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 779 หน่วย มีมูลค่า 1,886 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการ
โอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 347 หน่วย มีมูลค่า 949 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 41 หน่วย มีมูลค่า 49 ล้านบาท (ดูตารางที่ 3)
เมื่อพิจารณาเป็นรายอำเภอ พบว่า อำเภอที่มีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดใน 5 อันดับแรกของพื้นที่ EEC ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.3 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งหมด เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 3,539 หน่วย ลดลงร้อยละ -2.5 และมีมูลค่า 10,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 3,628 หน่วยและมีมูลค่า 10,165 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 1,238 หน่วย มีมูลค่า 4,289 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 645 หน่วย มีมูลค่า 2,359 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการ
โอนกรรมสิทธิ์จำนวน 2,301 หน่วย มีมูลค่า 6,037 ล้านบาท
อันดับ 2 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 1,324 หน่วย ลดลงร้อยละ -23.1 และมีมูลค่า 3,137
ล้านบาท ลดลงร้อยละ -21.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,721 หน่วย และมีมูลค่า 4,017 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 955 หน่วย มีมูลค่า 2,349 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 433 หน่วย มีมูลค่า 802 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 369 หน่วย มีมูลค่า 788 ล้านบาท
อันดับ 3 อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 1,117 หน่วย ลดลงร้อยละ -19.9 และมีมูลค่า 2,782
ล้านบาท ลดลงร้อยละ -23.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,394 หน่วยและมีมูลค่า 3,633 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 796 หน่วย มีมูลค่า 2,238 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 364 หน่วย มีมูลค่า 666 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 321 หน่วย มีมูลค่า 543 ล้านบาท
อันดับ 4 อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีจำนวน 758 หน่วย ลดลงร้อยละ -24.4 และมีมูลค่า 1,630 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -26.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 1,003 หน่วยและมีมูลค่า 2,210 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 592 หน่วย มีมูลค่า 1,388 ล้านบาท และเป็นการ
โอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 306 หน่วย มีมูลค่า 870 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 166 หน่วย มีมูลค่า 242 ล้านบาท
อันดับ 5 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 547 หน่วย ลดลงร้อยละ -10.5 และมีมูลค่า 1,526
ล้านบาท ลดลงร้อยละ -16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 611 หน่วยและมีมูลค่า 1,836
ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 249 หน่วย มีมูลค่า 605 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 177 หน่วย มีมูลค่า 428 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 298 หน่วย มีมูลค่า 922 ล้านบาท (ดูตารางที่ 3)
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบในไตรมาส 1 ปี 2567 ของ 3 จังหวัด EEC ในด้านจำนวนหน่วย พบว่า เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 2,546 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 8,008 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 4,041 หน่วย
คิดเป็นมูลค่า 9,069 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสอง
ในไตรมาส1 ปี 2567 เท่ากับ 39 : 61 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสอง
มีสัดส่วน 47 : 53
เมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 2,101 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.9 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด
โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 951 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 1,150 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,192 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.1 โดยแบ่งเป็นการ
โอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 425 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 767 หน่วย และเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,035 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.7 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 655 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 380 หน่วย ตามลำดับ
ถ้าพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา
2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 5,351 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.3 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 2,423 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 2,928 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,997 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 23.4 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 2,542 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 1,455 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,136 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.5
โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 761 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 1,376 ล้านบาท ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 12 และ 13)
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดในไตรมาส 1 ปี 2567 ของ 3 จังหวัด EEC ในด้านจำนวนหน่วย พบว่า เป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ (หรืออาคารชุดสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 1,848 หน่วย
คิดเป็นมูลค่า 5,382 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมือสอง (อาคารชุดมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา)
มีจำนวน 1,712 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 3,297 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสองในไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 52 : 48 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของอาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสองมีสัดส่วน 62 : 38
เมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่าส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01–3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 1,033 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.0 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 755 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 278 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.01–1.50 ล้านบาท มีจำนวน 613 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.2 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์
อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 135 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 478 หน่วย และเป็นระดับราคา 1.51-2.00
ล้านบาท มีจำนวน 577 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.2 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 306 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 271 หน่วย ตามลำดับ
ถ้าพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 2,534 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.2 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,859 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 675 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,099 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 24.2 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,562 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 537 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,013 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 11.7 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 543 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 469 ล้านบาท ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 14 และ 15)