ทำไมสุนัขถึงเป็นโรคหัวใจ ป้องกันได้อย่างไร?

โรคหัวใจในสุนัขเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในสุนัขสูงอายุ หลายคนอาจไม่ทราบว่าเพื่อนขนฟูที่รักของเราสามารถเป็นโรคหัวใจได้เช่นเดียวกับมนุษย์ แม้ว่าลักษณะของโรคอาจแตกต่างกันไป บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหัวใจในสุนัข สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และที่สำคัญคือการป้องกัน เพื่อให้สุนัขที่รักของคุณมีหัวใจที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

สาเหตุของโรคหัวใจในสุนัข

โรคหัวใจในสุนัขมีหลายประเภทและมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

พันธุกรรม

สุนัขบางสายพันธุ์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:

  • พันธุ์ขนาดเล็ก: ชิวาวา, ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์, มอลทีส, และพูเดิล มักพบโรคลิ้นหัวใจเสื่อม (Degenerative Mitral Valve Disease หรือ DMVD)
  • พันธุ์ขนาดใหญ่: เกรทเดน, เซนต์เบอร์นาร์ด, ไอริชวูล์ฟฮาวด์, และนิวฟาวด์แลนด์ มักพบโรคกล้ามเนื้อหัวใจขยายใหญ่ (Dilated Cardiomyopathy หรือ DCM)
  • พันธุ์อื่นๆ: บอกเซอร์, โดเบอร์แมน, และคาวาเลียร์ คิง ชาร์ลส์ สแปเนียล มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจชนิดต่างๆ

โรคหัวใจที่เกิดจากพันธุกรรมมักจะแสดงอาการเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น แม้ว่าความผิดปกติจะมีมาตั้งแต่กำเนิดก็ตาม

อายุ

เช่นเดียวกับมนุษย์ สุนัขมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนัขที่มีอายุมากกว่า 7-8 ปีขึ้นไป โดยสถิติพบว่าประมาณ 30% ของสุนัขที่มีอายุมากกว่า 10 ปีจะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจในระดับใดระดับหนึ่ง

โรคติดเชื้อ

เชื้อโรคบางชนิดสามารถส่งผลต่อหัวใจของสุนัขได้ เช่น:

  • เชื้อแบคทีเรีย: อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหัวใจ (Bacterial Endocarditis)
  • เชื้อพยาธิหนอนหัวใจ: เกิดจากการที่ยุงซึ่งมีตัวอ่อนของพยาธิกัดสุนัข ตัวอ่อนจะเดินทางไปยังหัวใจและปอด เติบโตเป็นตัวเต็มวัย และทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดและการทำงานของหัวใจ

ภาวะที่ได้รับมาแต่กำเนิด

สุนัขบางตัวอาจเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของหัวใจที่เรียกว่าโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Defects) เช่น:

  • รูรั่วที่ผนังหัวใจ (Septal Defects)
  • ลิ้นหัวใจผิดปกติ (Valve Malformations)
  • หลอดเลือดแดงตีบ (Stenosis)

โภชนาการและการใช้ชีวิต

ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ของสุนัขมีผลต่อสุขภาพหัวใจเช่นกัน:

  • ภาวะอ้วน: สุนัขที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
  • การขาดการออกกำลังกาย: สุนัขที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออาจมีระบบหัวใจและหลอดเลือดที่อ่อนแอ

อาหารที่มีเกลือสูง: การได้รับโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้สุนัขมีความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ประเภทของโรคหัวใจในสุนัข

โรคหัวใจในสุนัขมีหลายประเภท แต่ที่พบบ่อยที่สุดมีดังนี้

โรคลิ้นหัวใจเสื่อม (Degenerative Mitral Valve Disease – DMVD)

เป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุดในสุนัข โดยเฉพาะในสุนัขพันธุ์เล็ก เกิดจากการเสื่อมของลิ้นหัวใจไมทรัลซึ่งอยู่ระหว่างห้องหัวใจซ้ายบนและล่าง ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มีเลือดไหลย้อนกลับเมื่อหัวใจบีบตัว ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงร่างกาย

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขยายใหญ่ (Dilated Cardiomyopathy – DCM)

พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่ เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอและมีการขยายตัวของห้องหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดลดลง สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการขาดกรดอะมิโนทอรีนในสุนัขบางสายพันธุ์

โรคตามัวลิ้นหัวใจ (Endocardiosis)

เป็นการเสื่อมของเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจจากการสะสมของคอลลาเจนที่ผิดปกติ ทำให้ลิ้นหัวใจหนาตัวและปิดไม่สนิท มักพบในสุนัขสูงอายุ

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)

เป็นความผิดปกติของหัวใจที่มีมาตั้งแต่เกิด เช่น:

  • Patent Ductus Arteriosus (PDA): หลอดเลือดที่ควรปิดหลังคลอดยังคงเปิดอยู่
  • Ventricular Septal Defect (VSD): มีรูรั่วที่ผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจล่างซ้ายและขวา
  • Pulmonic Stenosis: หลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปยังปอดตีบแคบ

โรคหัวใจจากพยาธิหนอนหัวใจ (Heartworm Disease)

เกิดจากพยาธิหนอนหัวใจที่อาศัยอยู่ในหัวใจและหลอดเลือดใหญ่ ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติและเกิดการอักเสบ มีผลต่อการทำงานของหัวใจและปอด

อาการของโรคหัวใจในสุนัข

การสังเกตอาการผิดปกติตั้งแต่เริ่มแรกเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคหัวใจในสุนัข อาการที่พบได้มีดังนี้:

อาการเริ่มต้น

  • ไอ: โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเช้าตรู่
  • หอบหรือหายใจเร็ว: แม้ในขณะพักผ่อน
  • เหนื่อยง่าย: ไม่อยากเดินเล่นหรือออกกำลังกายเหมือนเดิม
  • น้ำหนักลด: แม้จะทานอาหารปกติ

อาการระยะกลาง

  • ท้องมีน้ำ: ท้องบวมจากการมีน้ำในช่องท้อง (Ascites)
  • อ่อนแรง: ขาหลังอ่อนแรง เดินไม่มั่นคง
  • เบื่ออาหาร: ทานอาหารน้อยลง
  • เป็นลมหรือหมดสติชั่วครู่: โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย

อาการรุนแรง

  • เยื่อเมือกและเหงือกซีด: เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไม่ดี
  • หายใจลำบาก: หอบรุนแรง อ้าปากหายใจ
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว: มีของเหลวคั่งในปอด ทำให้หายใจลำบากอย่างมาก
  • ช็อกจากหัวใจ: หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างเพียงพอ สุนัขอาจหมดสติ

เป็นที่น่าสังเกตว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่มักไม่แสดงอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายให้เห็นจนกว่าโรคจะรุนแรง การสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

การวินิจฉัยโรคหัวใจในสุนัข

หากสงสัยว่าสุนัขอาจมีปัญหาโรคหัวใจ สัตวแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้:

การตรวจร่างกายเบื้องต้น

  • การฟังเสียงหัวใจ: สัตวแพทย์จะใช้หูฟังเพื่อตรวจหาเสียงฟู่ (Heart Murmur) หรือเสียงผิดปกติอื่นๆ
  • การตรวจชีพจร: ตรวจความแรงและความสม่ำเสมอของชีพจร
  • การประเมินเยื่อเมือก: ตรวจสีของเหงือกและเวลาที่เลือดกลับเข้าสู่เส้นเลือดฝอยหลังกด (Capillary Refill Time)
  • การตรวจการหายใจ: ประเมินอัตราและรูปแบบการหายใจ

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจเลือด: ตรวจสารบ่งชี้การทำงานของหัวใจ เช่น NT-proBNP, Troponin I
  • การตรวจปัสสาวะ: ตรวจการทำงานของไต ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากโรคหัวใจ
  • การทดสอบการติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ: ตรวจหาแอนติเจนของพยาธิหนอนหัวใจในเลือด

การตรวจวินิจฉัยภาพ

  • เอกซเรย์ทรวงอก: ประเมินขนาดหัวใจ สภาพปอด และการมีน้ำในปอด
  • อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram): ตรวจโครงสร้างหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
  • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram หรือ ECG): ตรวจการทำงานของระบบไฟฟ้าในหัวใจและความผิดปกติของจังหวะการเต้น

การตรวจพิเศษ

  • การตรวจวัดความดันโลหิต: ประเมินความดันโลหิตซึ่งอาจสูงขึ้นจากโรคหัวใจ
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): ใช้ในบางกรณีเพื่อดูรายละเอียดของเนื้อเยื่อหัวใจ
  • การสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization): ใช้ในกรณีพิเศษเพื่อวัดความดันภายในห้องหัวใจและหลอดเลือด

การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และอาจช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้

การรักษาโรคหัวใจในสุนัข

การรักษาโรคหัวใจในสุนัขขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยมีวิธีการรักษาหลักๆ ดังนี้

การรักษาด้วยยา

  • ยาขับปัสสาวะ: ช่วยลดการคั่งของน้ำในร่างกาย เช่น Furosemide, Spironolactone
  • ยากลุ่ม ACE Inhibitors: ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิต เช่น Enalapril, Benazepril
  • ยา Pimobendan: เพิ่มความแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายหลอดเลือด
  • ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ: ใช้ในกรณีที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น Digoxin, Diltiazem
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel

การผ่าตัด

  • การผ่าตัดแก้ไขโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: เช่น การผ่าตัดปิด PDA
  • การใส่ลิ้นหัวใจเทียม: ในกรณีที่ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพมาก
  • การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker): สำหรับสุนัขที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติ

การรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจ

  • การกำจัดตัวอ่อน: ด้วยยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจปกติ
  • การกำจัดตัวเต็มวัย: ด้วยยาเฉพาะ เช่น Melarsomine
  • การผ่าตัด: ในกรณีที่มีพยาธิจำนวนมากและอาการรุนแรง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

  • การจำกัดการออกกำลังกาย: ในกรณีที่โรครุนแรง
  • การควบคุมอาหาร: จำกัดเกลือและควบคุมน้ำหนัก
  • การจัดการความเครียด: ลดสภาพแวดล้อมที่ทำให้สุนัขเครียด

การติดตามอย่างต่อเนื่อง

  • การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจวัดน้ำหนัก ฟังเสียงหัวใจ ตรวจการหายใจ
  • การปรับขนาดยา: ตามอาการและการตอบสนองของสุนัข
  • การทำอัลตราซาวด์หัวใจ: เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ

การรักษาโรคหัวใจในสุนัขส่วนใหญ่เป็นการรักษาเพื่อควบคุมอาการ ไม่ใช่การรักษาให้หายขาด โดยเฉพาะในกรณีโรคลิ้นหัวใจเสื่อมและโรคกล้ามเนื้อหัวใจขยายใหญ่ แต่การรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืดอายุได้

การป้องกันโรคหัวใจในสุนัข

แม้ว่าไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจที่เกิดจากพันธุกรรมได้ทั้งหมด แต่มีหลายวิธีที่เจ้าของสามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงและช่วยให้สุนัขมีสุขภาพหัวใจที่ดี:

การเลือกพันธุ์สุนัข

  • ศึกษาประวัติสายพันธุ์: หากต้องการเลี้ยงสุนัขพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ ควรเลือกซื้อจากผู้เพาะพันธุ์ที่มีการตรวจสุขภาพพ่อแม่พันธุ์
  • ตรวจสุขภาพก่อนรับเลี้ยง: นำสุนัขไปตรวจกับสัตวแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงตั้งแต่แรก

การดูแลโภชนาการ

  • อาหารคุณภาพดี: เลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน มีโปรตีนคุณภาพดี และมีส่วนผสมของกรดอะมิโนทอรีนอย่างเพียงพอ
  • จำกัดเกลือ: หลีกเลี่ยงการให้อาหารมนุษย์ที่มีเกลือสูง
  • ควบคุมน้ำหนัก: ภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ควรให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม
  • เสริมโอเมก้า-3: อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ออกกำลังกายประจำวัน: พาสุนัขเดินเล่นหรือวิ่งเล่นทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • ปรับความหนักเบา: ให้เหมาะสมกับอายุ ขนาด และสภาพร่างกายของสุนัข
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหักโหม: โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด

การป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ

  • ให้ยาป้องกันประจำ: ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ โดยทั่วไปให้เดือนละครั้ง
  • ตรวจหาพยาธิประจำปี: แม้จะให้ยาป้องกันสม่ำเสมอ ควรตรวจหาการติดเชื้อปีละครั้ง
  • ป้องกันยุง: ลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงรอบบ้าน และใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข

การตรวจสุขภาพประจำปี

  • ตรวจร่างกายประจำปี: นำสุนัขไปพบสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง
  • ตรวจหัวใจเพิ่มเติม: สำหรับสุนัขพันธุ์เสี่ยงหรือสุนัขสูงอายุ ควรทำอัลตราซาวด์หัวใจเป็นประจำ
  • ฟังเสียงหัวใจ: ให้สัตวแพทย์ฟังเสียงหัวใจเพื่อตรวจหาเสียงฟู่หรือความผิดปกติอื่นๆ

การจัดการความเครียด

  • สภาพแวดล้อมที่สงบ: หลีกเลี่ยงเสียงดังหรือสถานการณ์ที่ทำให้สุนัขเครียด
  • กิจกรรมคลายเครียด: เล่นกับสุนัข ให้ของเล่นที่กระตุ้นสมอง
  • รักษาตารางกิจวัตร: สุนัขชอบความสม่ำเสมอและคาดเดาได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยลดความเครียดได้

สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริม

  • โคเอนไซม์ Q10: ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ
  • น้ำมันปลา: อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบและสนับสนุนสุขภาพหัวใจ
  • วิตามิน E: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์หัวใจ
  • ทอรีน: กรดอะมิโนที่มีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจโดยเฉพาะในสุนัขบางสายพันธุ์

หมายเหตุสำคัญ: ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนให้ผลิตภัณฑ์เสริมใดๆ แก่สุนัข เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยากับยาที่สุนัขใช้อยู่

การดูแลสุนัขที่เป็นโรคหัวใจ

หากสุนัขของคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจ การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอาจช่วยยืดอายุได้:

การให้ยาอย่างถูกต้อง

  • ให้ยาตรงเวลา: ยาบางชนิดต้องให้ในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในเลือด
  • ไม่ปรับขนาดยาเอง: อย่าเพิ่มหรือลดขนาดยาโดยไม่ปรึกษาสัตวแพทย์
  • สังเกตผลข้างเคียง: หากพบว่าสุนัขมีอาการผิดปกติหลังได้รับยา ควรแจ้งสัตวแพทย์ทันที

การปรับสภาพแวดล้อม

  • พื้นที่พักผ่อนที่สบาย: จัดเตรียมที่นอนที่นุ่มสบายในพื้นที่เงียบสงบ
  • หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได: ลดการใช้บันไดหรือที่สูงเพื่อลดการทำงานของหัวใจ
  • ควบคุมอุณหภูมิ: หลีกเลี่ยงสภาพอากาศร้อนหรือหนาวเกินไป เนื่องจากทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

การเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลง

  • วัดอัตราการหายใจขณะพัก: สุนัขที่มีสุขภาพดีควรหายใจน้อยกว่า 30 ครั้งต่อนาทีขณะพัก
  • บันทึกน้ำหนัก: ชั่งน้ำหนักสุนัขสัปดาห์ละครั้ง การเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจเกิดจากการคั่งของน้ำ
  • สังเกตพฤติกรรม: บันทึกระดับกิจกรรม ความอยากอาหาร และพฤติกรรมทั่วไป

การปรับกิจกรรมทางกาย

  • ออกกำลังกายเบาๆ: สุนัขที่เป็นโรคหัวใจยังคงต้องการการออกกำลังกาย แต่ควรเป็นกิจกรรมเบาๆ เช่น เดินช้าๆ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: งดกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น วิ่งไล่จับ กระโดด
  • พักเป็นระยะ: ให้สุนัขได้พักระหว่างกิจกรรม

การดูแลจิตใจ

  • ลดความเครียด: สุนัขที่เป็นโรคหัวใจมักจะรู้สึกไม่สบายและอาจเครียดได้ง่าย
  • กิจกรรมกระตุ้นสมอง: แทนที่จะให้ออกกำลังกายหนัก ใช้ของเล่นกระตุ้นสมองเพื่อให้สุนัขได้ใช้พลังงานทางความคิด
  • เวลาคุณภาพ: ใช้เวลากับสุนัขด้วยกิจกรรมสงบ เช่น การนวด การแปรงขน

การตรวจติดตามกับสัตวแพทย์

  • ตรวจตามนัด: พาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ตามกำหนดนัดทุกครั้ง แม้สุนัขจะดูมีอาการดีขึ้น
  • ตรวจเพิ่มเติมเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง: หากพบว่าสุนัขมีอาการแย่ลง ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
  • ปรับแผนการรักษา: แผนการรักษาอาจต้องปรับเปลี่ยนตามการดำเนินของโรค

สัญญาณฉุกเฉินที่ต้องพบสัตวแพทย์ทันที

เจ้าของสุนัขที่เป็นโรคหัวใจควรตระหนักถึงสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าต้องนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน:

  • หอบอย่างรุนแรง: หายใจเร็วและลำบาก แม้ในขณะพักผ่อน
  • ไอมากผิดปกติ: โดยเฉพาะการไอที่รุนแรงหรือต่อเนื่อง
  • เป็นลม: สุนัขหมดสติหรือล้มลงแม้เพียงชั่วขณะ
  • เยื่อเมือกเปลี่ยนสี: เหงือกหรือลิ้นเป็นสีม่วงคล้ำหรือซีดมาก
  • ท้องบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว: อาจเกิดจากการมีของเหลวในช่องท้อง
  • ไม่ยอมนอนลง: สุนัขยืนหรือนั่งตลอดเวลา ไม่ยอมนอน เนื่องจากมีปัญหาในการหายใจ
  • ขาบวม: โดยเฉพาะขาหลัง เกิดจากการคั่งของของเหลว
  • ไม่กินอาหารและน้ำ: เบื่ออาหารอย่างสิ้นเชิงนานกว่า 24 ชั่วโมง
  • อ่อนแรงอย่างมาก: ไม่สามารถลุกเดินได้หรือไม่มีแรง

สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลวหรือภาวะฉุกเฉินอื่นๆ ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน การได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจเป็นความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตาย

สรุป

โรคหัวใจในสุนัขเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในสุนัขสูงอายุและสุนัขบางสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม แม้ว่าเราไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจที่มีสาเหตุจากพันธุกรรมได้ทั้งหมด แต่การเลือกสุนัขอย่างรอบคอบ การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม และการตรวจสุขภาพเป็นประจำสามารถช่วยลดความเสี่ยงและตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้

สำหรับสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจ การให้ยาตามที่สัตวแพทย์สั่ง การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย รวมถึงการสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอาจช่วยยืดอายุได้ การดูแลสุนัขที่เป็นโรคหัวใจอาจต้องใช้ความพยายามและความทุ่มเทมากขึ้น แต่ความรักและการดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้สุนัขที่รักของคุณมีชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

พึงระลึกเสมอว่า การป้องกันดีกว่าการรักษา การดูแลสุขภาพสุนัขอย่างดีตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในอนาคต ในขณะเดียวกัน การสังเกตอาการผิดปกติและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตรวจพบโรคได้เร็วและเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที

#สัตว์เลี้ยง #สาระ #โรคหัวใจในสุนัข #สุขภาพสุนัข #การดูแลสุนัข #โรคในสุนัข #สุนัขสูงอายุ #พยาธิหนอนหัวใจ #ลิ้นหัวใจ #สัตว์เลี้ยง #สุขภาพสัตว์เลี้ยง #การป้องกันโรคในสุนัข

อ่านเพิ่ม
Sidebar
TIK TOK
รีวิวโครงการ
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Sponsor
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Sponsor
รีวิว ศุภาลัย วิลล์ ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้าน Design ใหม่ พื้นที่ใหญ่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทุก Lifestyle เป็นส่วนตัวเพียง 66 แปลง ส่วนกลางครบครัน บนทำเลที่โดดเด่น โซนปิ่นเกล้า-ศาลายา
Sponsor
รีวิว บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น-ซ.เวิร์คพอยท์ คอนโดแนวคิดใหม่ สไตล์ทาวน์โฮม 2 ชั้น 2 นอน 2 น้ำ บนทำเลรังสิต-ปทุมฯ ใกล้ทางด่วนฯ, โทลล์เวย์ และรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีรังสิต
Sponsor
รีวิว นิรติ ดอนเมือง (NIRATI DONMUEANG) บ้านและทาวน์โฮม NEW SERIES 2.5 ชั้น พร้อมส่วนกลางกว่า 4 ไร่* ที่สุดของทำเลศักยภาพ เพียง 5 นาที* ถึงสนามบินดอนเมือง
Sponsor
Loading..