วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ยังคงเป็นบทเรียนที่ดี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่ารายใหม่หรือรายเก่า ที่ยึดแนวทางการดำเนินธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ การกระจายความเสี่ยง Diversification Strategy ตลอดเวลาที่ผ่านมา โดยการแบ่งพอร์ตออกเป็นสองด้าน ได้แก่โครงการเพื่อขายและปล่อยเช่า เช่นเดียวกับ “เอ็มที แอสเสท” ค่ายอสังหาฯที่มีความเชี่ยวชาญอยู่ในวงการธุรกิจอสังหาฯมานานกว่า 40 ปี ที่ปัจจุบันการบริหารถ่ายถอดมาสู่ยุคเจนเนอเรชั่นที่ 2
ดร.วรพจน์ กันตพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารยุคเจนเนอเรชั่นที่ 2 กล่าวว่า เอ็มที แอสเสท จากประสบการณ์กว่า 40 ปีในการพัฒนา บริหาร และขายโครงการอสังหาริมทรัพย์มาหลากหลายประเภทในโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ได้แก่ เขตดอนเมือง สายไหม บางเขน จังหวัดนนทบุรี ต่อไปถึงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี อย่างลำลูกกาและคลองหลวง บริษัทให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ เน้นการกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ไปพร้อมการสร้างการเติบโตในระยะยาว ด้วยการเพิ่มโอกาสการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันธุรกิจเพื่อเช่ามี 4 ธุรกิจ โดยสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 30% ได้แก่ ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ “MT Arena Sport & Lifestyle Mall” ย่านคูคต ,อพาร์ตเมนต์ ย่านนวนคร จำนวน 79 ยูนิต ราคาเช่า 7,000 บาท/เดือน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ,ตลาดสดบุญอนันต์ ย่านดอนเมือง และล่าสุดขยายฐานธุรกิจใหม่ คือ โรงแรม ซึ่งได้ซื้อกิจการโรงแรม“13 เหรียญ ติวานนท์ อิมแพ็คอารีนา” (13 Coins Tiwanon Impact Arena Hotel) ต่อมาจากเจ้าของเดิม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ สูง 7 ชั้น จำนวน 68 ห้อง รวมพื้นที่ใช้สอย 7,000 ตารางเมตร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการรีโนเวทเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยจะใช้งบประมาณในการรีโนเวทราว 60 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 2/2567
ขณะเดียวกัน บริษัทใช้จุดแข็งและประสบการในการพัฒนาพื้นที่โซนกรุงเทพฯตอนเหนือมาอย่างยาวนาน ในการสร้างโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะหลังรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เปิดให้บริการ วิ่งเชื่อมกรุงเทพฯ และปทุมธานี ทำให้เกิดโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเพิ่มขึ้นจึงเป็นโอกาสพัฒนามิกซ์ยูสเพื่อให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัยในย่านคูคตที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และย่านคูคตกำลังจะกลายเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯตอนเหนือ
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่บริษัทฯได้นำโครงการรีเทลที่มีอยู่แล้ว“MT Arena Sport & Lifestyle Mall” ย่านคูคต ติดถนนลำลูกกา ห่างจากสถานีคูคตเพียง 400 เมตร บนพื้นที่ 20 ไร่ มารีโนเวทใหม่ ใช้งบ 100 ล้านบาท เพื่อทำเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ ในชื่อ “เอ็มที คูคต ไลฟ์สไตล์ มอลล์” (MT Khu Khot Lifestyle Mall) โครงการดังกล่าว จะถูกพัฒนาให้เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีความทันสมัย เพื่อเพิ่มความขีดความสามารถของบริษัทในการให้บริการแก่ผู้เช่าพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในย่านคูคต โดยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income)ให้กับบริษัทพร้อมรับมือกับความท้าทายและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ อาคารหนึ่งชั้นที่เป็น Makro Food Service พื้นที่ 4,400 ตร.ม. ส่วนที่สองเป็น Starbucks Drive Thru แห่งแรกบนถนนลำลูกกา ซึ่งทั้ง2ส่วนแรกได้เปิดให้บริการแล้ว และส่วนสุดท้ายเป็นมอลล์ ขนาด 3 ชั้น จำนวน 16 ยูนิต ที่จะเป็น food destination แห่งแรกและแห่งเดียวในย่านคูคต รวมพื้นที่ขาย 1,600 ตร.ม. ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 70% และได้เปิดขายพื้นที่แล้วตั้งแต่กลางปี2566 ล่าสุดปิดได้แล้ว 40% โดยตั้งเป้าจะปิดการขายได้ทั้งหมดและส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้เช่าได้ในไตรมาสแรกปี2567 พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส2
ทั้งนี้ร้ านค้าในมอลล์ จะเป็นประเภทอาหารและเครื่องดื่ม 12 ยูนิต และให้บริการด้านสุขภาพและความงามอีก 4 ยูนิต โดยมีค่าเช่าเริ่มต้นที่ 500 บาท/ตารางเมตร สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะมีทั้งผู้อาศัยและทำงานในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบโครงการฯ ครอบคลุมโซนลำลูกกา รังสิต สายไหม ผู้ใช้บริการบีทีเอส สถานีคูคต
ดร.วรพจน์ บอกด้วยว่า ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายที่ 145 ล้านบาท และจากการปล่อยเช่า 45 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 50% ส่วนของปีนี้จนถึงไตรมาส 3/2566 รับรู้รายได้รวมไปแล้วกว่า 160 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 120 ล้านบาท และจากการปล่อยเช่า 40 ล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ทั้งสิ้นอยู่ประมาณ 210 ล้านบาท จากการปิดโครงการคอนโดมิเนียม “MT Residence” คลองหลวง จำนวน 312 ยูนิต ที่ปัจจุบันมีการโอนไปแล้วมากกว่า 80% รวมกับรายได้ส่วนค่าเช่าจากโครงการต่างๆในมือ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษา MOMENTUMการเติบโตต่อเนื่องได้อีกปีที่ 10%