“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เรียกได้ว่า เป็นบริษัทผู้เน้นการพัฒนาโครงการแนวสูงระดับลักชัวรี และซูเปอร์ลักชีในระดับแถวหน้าของไทย แต่นับจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เมเจอร์ฯ เริ่มมีการแตกไลน์โปรดักส์ไปในเซกเม้นท์อื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะแนวราบ แต่ยังคงความผู้เล่นในตลาดเดิม ระดับลักชัวรี่
ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง 2566 ยังมั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดระดับลักชัวรี ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการในระดับบนที่มีกำลังซื้อซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่แข็งแรง ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยกลุ่มนี้ต้องการหาที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อการขยับขยายครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น มีสไตล์ที่ตรงโจทย์ พื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น สามารถรองรับกับไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัวที่มีหลายวัยได้อย่างหลากหลาย
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ มองว่า กำลังกลับมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลพวงของตลาดท่องเที่ยวที่กลับมาแล้วและภาพลักษณ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยของรัฐบาลชุดใหม่
จากโอกาสดังกล่าว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จึงได้พัฒนาแบรนด์ใหม่ “MAYFIELD” (เมย์ฟีลด์) มุ่งเน้นตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกวัย ภายใต้สโลแกนหลัก “HOME IS WHERE YOUR HEART IS” แนวคิดบ้านที่เกิดจากการเชื่อมโยงธรรมชาติ – ชีวิต – ครอบครัว – ที่พักอาศัย ให้เป็นบริบทแห่งนิยามใหม่ของการอยู่อาศัย “ธรรมชาติที่โอบล้อมในทุกการใช้ชีวิต คิดครบอย่างเข้าใจสู่ที่อยู่อาศัยของครอบครัว” ชูการออกแบบบ้านที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด อบอุ่น ผ่อนคลาย โล่งสบาย ปลอดภัย และเติมพลังทุกวันใหม่ ให้ผู้อยู่อาศัยได้เอาหัวใจมาวางพักไว้กับคนที่รัก เป็นพื้นที่ที่สามารถแบ่งปันความรู้สึกดีดีให้กันได้ในทุกวันทุกเวลา
พร้อมทั้ง บริษัทฯ มีความต้องการที่จะเดินหน้าขยายโครงการใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยเน้นไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกความเป็นสุขนิยม ผสมผสานธรรมชาติ มุ่งสร้างความยั่งยืนของรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และยังมองถึงเทรนด์อสังหาฯ ในยุคนี้ ที่เป็นการแข่งขันด้วยการสร้างโมเดลให้สอดคล้องไปกับเทคโนโลยีการตลาดดิจิทัล เพื่อเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งความท้าทายในตลาดกำลังซื้อถูกเปลี่ยนไปอยู่ในนิวเจน จึงต้องสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับเจนใหม่ โดยใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติไปด้วย
โดยปีนี้จะเปิดโครงการ เมย์ฟีลด์ ทั้งหมด 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โครงการแรก คือ “เมย์ฟิลด์ ปิ่นเกล้า”ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 8.5 ไร่ ในซอยบรมราชชนนี 6พัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ลักชัวรี ในสไตล์ Urban Modern Classic ขนาดตั้งแต่ 26.64-34.63 ตารางวา ราคาขายเริ่มต้นที่ 14.5-16 ล้านบาท จำนวน 68 ยูนิต มูลค่า โครงการ 1,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้เปิดขายในรอบ VVIP มาแล้ว สามารถทำยอดขายได้ 25% โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าของบริษัทฯที่ตามมาซื้อโครงการใหม่ เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ และไม่มีซัพพลายในระดับเดียวกัน เนื่องจากทำเลดังกล่าวค่อนข้างหาที่ดินยาก ซี่งแปลงนี้เดิมเป็นสวนเก่า และบริษัทฯซื้อมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา และจะเปิดพรีเซลในวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2566 นี้ คาดว่าจะทำยอดขายได้อีก 25% โดยบ้านจะสร้างเสร็จและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในปี 2567
โครงการที่ 2 คือ “เมย์ฟิลด์ เลน รัชดา-ลาดพร้าว” (MAYFIELD LANE RATCHADA LADPRAO) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ บริเวณซอยลาดพร้าว 26 พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 369.5- 454 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 39.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 520 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 4/2566 นี้
และโครงการ “เมย์ฟิลด์ รามอินทรา-คู้บอน” (MAYFIELD RAMINDRA KHUBON) ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 40 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาดตั้งแต่ 224.4 – 299.53 ตารางเมตร จำนวน 167 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 13.9 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 4/2566 นี้
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้ จะเปิดตัวทั้งสิ้นประมาณ 5-7 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท
ส่วนคอนโดฯอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูจากหลายปัจจัย อาทิ สภาวะเศรษฐกิจ,ความพร้อมของตลาด,การเมือง และลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วทั้ง 2 แปลง คือ ทำเลสุขุมวิท ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 3,250 ล้านบาท และทำเลพญาไท พัฒนาภายใต้แบรนด์ “มาร์ควิส” ราคาประมาณ 290,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการนี้อาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับหลายกลุ่มทุน อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มทุนจากหมู่เกาะบริติซ เวอร์จิน ของอังกฤษ (BVI)
“บ้านหรูแนวราบกำลังปรับสู่ความสมดุลเหมือนก่อนช่วงโควิด ด้วยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีแรงขับเคลื่อนให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทฯมีโครงการแนวราบ สัดส่วนที่น้อยมากประมาณ 10% เท่านั้น แต่จากช่วงวิกฤติโควิด –19 ที่ผ่านมา ความต้องการบ้านแนวราบมีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯได้ปรับพอร์ตโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเป็น 33% และในอนาคตจะให้อยู่ที่ระดับ 40% “ดร.สุริยากล่าว





