ภาระผ่อนบ้านเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักที่คนส่วนใหญ่ต้องแบกรับยาวนานถึง 20-30 ปี ส่งผลให้เงินส่วนใหญ่ถูกนำไปชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น หลายคนจึงมองหาวิธีปลดภาระหนี้นี้ให้เร็วขึ้น นอกจากจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้อย่างมหาศาลแล้ว ยังทำให้มีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคนิคการผ่อนบ้านให้หมดเร็ว วิธีคำนวณระยะเวลาในการผ่อน รวมถึงเรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำสินเชื่อบ้าน เพื่อวางแผนการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มผ่อนบ้าน
การซื้อบ้านด้วยเงินสดอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับทุกคน การผ่อนบ้านจึงเป็นทางเลือกที่นิยมมากกว่า แต่ก่อนตัดสินใจกู้เงินซื้อบ้าน มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ควรพิจารณาเพื่อให้การผ่อนชำระเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
การประเมินสถานะทางการเงิน
การประเมินสถานะทางการเงินเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมากก่อนตัดสินใจผ่อนบ้าน คุณควรสำรวจรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด เพราะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักการวางแผนการเงินที่ดี ภาระหนี้ทั้งหมดไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่า หากคุณมีรายได้สุทธิ 50,000 บาทต่อเดือน ภาระหนี้ทั้งหมดที่รวมทั้งการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือหนี้บัตรเครดิต ไม่ควรเกิน 20,000 บาท
นอกจากนี้ คุณยังต้องมีเงินออมสำหรับเป็นเงินดาวน์ และควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การตกงาน หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินทางการแพทย์
การเลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสม
การเลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นส่วนสำคัญของการกู้ซื้อบ้าน สถาบันการเงินจะประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ก่อนอนุมัติวงเงิน โดยมีหลักการประเมินคร่าวๆ ดังนี้:
- กรณีไม่มีภาระหนี้: วงเงินกู้มักอยู่ที่ประมาณ 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน เช่น หากมีรายได้ 45,000 บาท อาจกู้ได้ประมาณ 2.7 ล้านบาท
- กรณีมีภาระหนี้: สถาบันการเงินจะพิจารณาอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) โดยรวมแล้วไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้ ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ 45,000 บาท และกำลังผ่อนรถอยู่เดือนละ 8,500 บาท จะเหลือความสามารถในการผ่อนบ้านประมาณ 5,000-9,500 บาทต่อเดือน
- อัตราส่วนการผ่อนต่อเงินกู้: โดยทั่วไป ผู้กู้ต้องมีความสามารถผ่อนชำระประมาณ 8,000 บาทต่อเงินกู้ 1 ล้านบาท ดังนั้น หากสามารถผ่อนได้เดือนละ 16,000 บาท อาจกู้ได้ประมาณ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ระยะเวลาในการผ่อน ผู้กู้ร่วม และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งล้วนมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ
การวางเงินดาวน์อย่างเหมาะสม
เงินดาวน์มีผลโดยตรงต่อภาระดอกเบี้ยและระยะเวลาในการผ่อนบ้าน การวางเงินดาวน์น้อยอาจทำให้ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ทันที แต่ก็ต้องแลกกับการจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่สูงจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำให้วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน เพื่อประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว แต่หากไม่สามารถวางเงินดาวน์ในสัดส่วนนี้ได้ ควรพยายามวางอย่างน้อย 5-10% ตามความสามารถทางการเงิน การวางแผนเก็บเงินดาวน์อย่างเป็นระบบจึงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการตัดสินใจซื้อบ้าน

5 เทคนิคผ่อนบ้านให้หมดเร็วกว่ากำหนด
หนี้บ้านเป็นภาระผูกพันทางการเงินระยะยาวที่อาจใช้เวลาถึง 30 ปี แต่มีเทคนิคหลายวิธีที่จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้คุณหลุดพ้นจากภาระหนี้เร็วขึ้น แต่ยังช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้อีกด้วย นี่คือ 5 เทคนิคที่มีประสิทธิภาพ:
1. ชำระเกินยอดทุกงวด
เทคนิคแรกที่มีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน คือ การชำระเงินเกินกว่ายอดที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด การชำระหนี้บ้านในแต่ละงวดประกอบด้วยเงินต้นและดอกเบี้ย ในช่วงแรกของการผ่อน ส่วนใหญ่ของเงินที่ชำระจะเป็นดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น
เมื่อชำระเกินกว่ายอดที่กำหนด เงินส่วนเกินจะถูกนำไปหักเงินต้นโดยตรง ซึ่งช่วยลดฐานในการคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป ตามหลักการลดต้นลดดอก คุณอาจเริ่มต้นด้วยการชำระเพิ่ม 10-20% ของยอดผ่อนปกติ เช่น หากผ่อนงวดละ 10,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 12,000 บาท ในระยะยาว การชำระเพิ่มอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้หลายปี
ที่สำคัญ เมื่อชำระเกินจำนวน ต้องแจ้งธนาคารอย่างชัดเจนว่าต้องการให้นำเงินส่วนเกินไปหักเงินต้น ไม่เช่นนั้น ธนาคารอาจนำไปหักเป็นการชำระล่วงหน้าสำหรับงวดถัดไปแทน ซึ่งจะไม่ช่วยลดดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อน
2. ชำระเพิ่ม 1 งวดต่อปี
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถชำระเกินในทุกงวดได้ การชำระเพิ่ม 1 งวดต่อปีเป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นก้อนในบางช่วงของปี เช่น โบนัสประจำปี หรือรายได้จากโปรเจ็กต์พิเศษ
หลักการคือ เมื่อได้รับเงินก้อน ให้นำส่วนหนึ่งมาชำระเพิ่มเป็นมูลค่าเท่ากับหนึ่งงวดหรือมากกว่า เช่น หากผ่อนเดือนละ 15,000 บาท เมื่อได้รับโบนัส อาจนำมาชำระเพิ่ม 15,000 บาท หรือมากกว่า เงินที่ชำระเพิ่มนี้จะไปลดเงินต้นโดยตรง ทำให้ดอกเบี้ยลดลงและย่นระยะเวลาผ่อน
การชำระเพิ่มในลักษณะนี้หากทำสม่ำเสมอทุกปี จะสามารถลดระยะเวลาผ่อนลงได้ถึง 4-5 ปี ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ชำระเพิ่มและระยะเวลาผ่อนที่เหลืออยู่ ยิ่งเริ่มชำระเพิ่มเร็วเท่าไร ยิ่งประหยัดดอกเบี้ยได้มากเท่านั้น
3. โปะเงินต้นช่วงดอกเบี้ยต่ำ
ในช่วง 3-5 ปีแรกของการผ่อนบ้าน สถาบันการเงินมักเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ในระดับต่ำ ประมาณ 2-3% ต่อปี หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มเป็น 5-6% หรือตามอัตราตลาด ช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำจึงเป็นโอกาสดีในการโปะเงินต้นเพิ่ม
การโปะเงินต้นในช่วงดอกเบี้ยต่ำจะเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะทำให้ฐานเงินต้นลดลงก่อนที่ดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งสามารถลดเงินต้นได้มากเท่าไรในช่วงนี้ ผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในอนาคตก็จะน้อยลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ว่ามีข้อจำกัดในการชำระเงินต้นเพิ่มหรือไม่ บางสถาบันการเงินอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระคืนก่อนกำหนดในช่วงปีแรกๆ ซึ่งอาจทำให้ประโยชน์ที่ได้รับลดลง
4. ชำระตรงเวลาเสมอ
การชำระหนี้ตรงเวลาเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้การผ่อนบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะช่วยหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัดชำระ แต่ยังช่วยสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดี ซึ่งมีผลต่อการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต
ประวัติการชำระหนี้ที่ดีและสม่ำเสมอจะเพิ่มโอกาสในการขอรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่นในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า นอกจากนี้ ยังช่วยให้สถาบันการเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้นหากคุณต้องการขอปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ในอนาคต
เพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลาเสมอ ควรตั้งการแจ้งเตือนการชำระเงิน จัดทำงบประมาณรายเดือนที่รวมค่าผ่อนบ้านเป็นลำดับความสำคัญต้นๆ และอาจพิจารณาตั้งบริการหักบัญชีอัตโนมัติเพื่อไม่ให้พลาดการชำระ
5. ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
การปรับโครงสร้างหนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการเปลี่ยนแปลง มีสองวิธีหลักในการปรับโครงสร้างหนี้บ้าน:
รีไฟแนนซ์ (Refinance)
รีไฟแนนซ์ คือการย้ายหนี้บ้านจากสถาบันการเงินเดิมไปยังสถาบันการเงินใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เป็นวิธีที่นิยมทำเมื่อพ้นช่วงดอกเบี้ยพิเศษ 3-5 ปีแรก และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น
การรีไฟแนนซ์จะคุ้มค่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าอัตราเดิมอย่างน้อย 2-3% และผลประโยชน์จากการประหยัดดอกเบี้ยมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ ค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการปิดบัญชีเงินกู้เดิม ซึ่งอาจรวมกันประมาณ 1-3% ของวงเงินกู้
หากวางแผนรีไฟแนนซ์อย่างเหมาะสม คุณสามารถคงจำนวนเงินที่ผ่อนต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาผ่อนจะลดลงเนื่องจากดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรืออาจเลือกลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือนโดยคงระยะเวลาผ่อนเท่าเดิม ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน
รีเทนชั่น (Retention)
รีเทนชั่น คือการเจรจากับสถาบันการเงินเดิมเพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยไม่ต้องย้ายไปสถาบันการเงินอื่น วิธีนี้มักทำได้เมื่อผ่อนชำระมาระยะหนึ่งแล้ว (ประมาณ 3 ปีขึ้นไป) และมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี
ข้อดีของรีเทนชั่นคือ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการทำเรื่องขอสินเชื่อใหม่ ไม่ต้องประเมินหลักทรัพย์ใหม่ และกระบวนการไม่ยุ่งยากเท่ารีไฟแนนซ์ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจไม่ต่ำเท่ากับการรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินอื่น
การเจรจารีเทนชั่นมักได้ผลดีเมื่อคุณมีข้อเสนอจากสถาบันการเงินอื่นในมือ ซึ่งจะเป็นข้อต่อรองให้สถาบันการเงินเดิมพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาลูกค้า

ผ่อนบ้านแต่ละแบบ ใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการผ่อนบ้านขึ้นอยู่กับวิธีการบริหารจัดการสินเชื่อ มาดูเปรียบเทียบระยะเวลาผ่อนบ้านในแต่ละรูปแบบ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าแต่ละวิธีจะช่วยลดระยะเวลาผ่อนได้มากน้อยแค่ไหน:
ผ่อนตามแผนปกติ
การผ่อนบ้านตามแผนที่สถาบันการเงินกำหนด โดยไม่มีการชำระเพิ่มหรือปรับโครงสร้างหนี้ จะใช้ระยะเวลาตามที่ตกลงไว้ในสัญญา ซึ่งโดยทั่วไปอาจอยู่ที่ 20-30 ปี ขึ้นอยู่กับวงเงินกู้และความสามารถในการผ่อนชำระ
ตัวอย่างเช่น หากกู้ 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4% ต่อปี ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จะมีค่าผ่อนประมาณ 14,300 บาทต่อเดือน และเมื่อผ่อนครบตามกำหนด จะชำระดอกเบี้ยรวมไปทั้งสิ้นประมาณ 2.15 ล้านบาท รวมจ่ายทั้งหมด 5.15 ล้านบาท
การผ่อนตามแผนปกตินี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้คงที่และต้องการค่าผ่อนที่ไม่สูงเกินไปในแต่ละเดือน อย่างไรก็ตาม จะเสียดอกเบี้ยค่อนข้างมากในระยะยาว
ผ่อนพร้อมโปะเพิ่ม
หากผ่อนบ้านตามแผนปกติ แต่มีการโปะเงินต้นเพิ่มอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งโปะเพิ่มมากและเริ่มโปะเร็วเท่าไร ยิ่งประหยัดเวลาและดอกเบี้ยได้มาก
ยกตัวอย่างกรณีเดิม ถ้ากู้ 3 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี แต่เพิ่มเงินผ่อนจาก 14,300 บาท เป็น 18,590 บาท (เพิ่ม 30%) ระยะเวลาผ่อนจะลดลงเหลือประมาณ 18 ปี และประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 860,000 บาท หากเพิ่มเป็น 21,450 บาท (เพิ่ม 50%) จะลดระยะเวลาเหลือประมาณ 14.5 ปี และประหยัดดอกเบี้ยได้ถึง 1.2 ล้านบาท
การโปะเงินต้นเพิ่มจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับผู้ที่มีเงินเหลือในแต่ละเดือนและต้องการลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว
ผ่อนพร้อมรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน โดยเฉพาะเมื่อสามารถได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ หากรีไฟแนนซ์ในช่วงที่เหมาะสม เช่น หลังผ่อนไปแล้ว 3-5 ปี และอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนได้ประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
ตัวอย่างเช่น หากเริ่มผ่อนด้วยอัตราดอกเบี้ย 4% และสามารถรีไฟแนนซ์ให้ได้อัตราดอกเบี้ย 2.5% หลังจากผ่อนไป 5 ปี โดยคงค่าผ่อนเท่าเดิม จะสามารถลดระยะเวลาผ่อนลงได้ประมาณ 5 ปี และประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 500,000 บาท
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการรีไฟแนนซ์หลายครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม (เช่น ทุก 3-5 ปี) จะยิ่งช่วยลดระยะเวลาผ่อนและประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น
ผ่อนพร้อมโปะเพิ่มและรีไฟแนนซ์
การผสมผสานระหว่างการโปะเงินต้นเพิ่มและการรีไฟแนนซ์เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน และประหยัดดอกเบี้ย โดยวิธีนี้สามารถลดระยะเวลาผ่อนจาก 30 ปีเหลือเพียง 10-12 ปี ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่โปะเพิ่มและอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์
ยกตัวอย่างเช่น การกู้ 3 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี หากเพิ่มยอดผ่อน 50% (จาก 14,300 บาท เป็น 21,450 บาท) และรีไฟแนนซ์ได้ดอกเบี้ย 2.5% หลังจากผ่อนไป 5 ปี จะสามารถลดระยะเวลาผ่อนเหลือเพียง 10 ปี และประหยัดดอกเบี้ยได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีวินัยทางการเงินสูง มีความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่มขึ้น และติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยในตลาดอย่างสม่ำเสมอ แม้จะต้องใช้ความพยายามในการบริหารจัดการมากกว่าวิธีอื่น แต่ผลตอบแทนก็คุ้มค่ากับความพยายามนั้น

ข้อสงสัยที่มักพบเกี่ยวกับการผ่อนบ้าน
นอกจากวิธีการผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ยังมีข้อสงสัยอื่นๆ เกี่ยวกับการผ่อนบ้านที่ผู้กู้มักสอบถาม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมด
ผ่อนบ้านนานแค่ไหนถึงจะขายได้?
คำถามที่พบบ่อยคือ ต้องผ่อนบ้านนานเท่าไรจึงจะสามารถขายได้ คำตอบคือ คุณสามารถขายบ้านได้ตั้งแต่วันที่คุณได้รับกรรมสิทธิ์ในบ้าน ไม่ว่าจะซื้อด้วยเงินสดหรือผ่อนกับสถาบันการเงิน แต่มีข้อควรพิจารณาดังนี้:
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: หากคุณมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปีในวันที่ขาย คุณอาจต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาขาย
- ความคุ้มค่า: การขายบ้านในช่วงต้นของการผ่อนอาจไม่คุ้มค่าเนื่องจากคุณได้ชำระเงินต้นไปเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการชำระดอกเบี้ย นอกจากนี้ ราคาบ้านอาจยังไม่เพิ่มมูลค่าเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซื้อและขาย
- ค่าธรรมเนียมการปิดบัญชีก่อนกำหนด: บางสถาบันการเงินอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้หากคุณปิดบัญชีเงินกู้ในช่วงปีแรกๆ ควรตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ให้ละเอียด
โดยทั่วไป การผ่อนบ้านประมาณ 3-5 ปี มักเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดในการขาย เนื่องจากเริ่มชำระเงินต้นไปพอสมควร และบ้านอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด
ขั้นตอนการขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมด
การขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดสามารถทำได้ แต่มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับการขายบ้านที่ไม่มีภาระผูกพัน ขั้นตอนหลักๆ มีดังนี้:
- ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือกับสถาบันการเงิน: ก่อนตั้งราคาขาย ควรสอบถามยอดหนี้ที่ต้องชำระเพื่อไถ่ถอนจำนอง ซึ่งประกอบด้วยเงินต้นคงเหลือ ดอกเบี้ยค้างชำระ และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- หาผู้ซื้อและตกลงราคา: อาจขายเองหรือผ่านนายหน้า ราคาขายควรครอบคลุมยอดหนี้คงเหลือและค่าใช้จ่ายในการขาย
- แจ้งสถาบันการเงินเรื่องการขาย: เมื่อมีผู้ซื้อแล้ว ต้องแจ้งสถาบันการเงินเพื่อขอไถ่ถอนจำนอง โดยสถาบันการเงินจะออกหนังสือแจ้งยอดไถ่ถอนที่มีอายุประมาณ 7-10 วัน
- การโอนกรรมสิทธิ์: มีขั้นตอนดังนี้:
- กรณีผู้ซื้อชำระด้วยเงินสด: ผู้ซื้อจะทำแคชเชียร์เช็คจ่ายให้สถาบันการเงินตามยอดไถ่ถอน และจ่ายส่วนที่เหลือให้ผู้ขาย
- กรณีผู้ซื้อกู้จากสถาบันการเงิน: ธนาคารของผู้ซื้อจะออกแคชเชียร์เช็คจ่ายให้สถาบันการเงินของผู้ขายและส่วนที่เหลือให้ผู้ขาย
- เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินของผู้ขาย ผู้ขาย ผู้ซื้อ และเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินของผู้ซื้อ (กรณีกู้) จะต้องไปที่สำนักงานที่ดินพร้อมกันในวันโอนกรรมสิทธิ์
- ชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้อง: รวมถึงค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ถ้ามี) อากรแสตมป์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
กระบวนการขายบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดจึงซับซ้อนกว่าการขายบ้านที่ไม่มีภาระจำนอง และต้องมีการประสานงานระหว่างหลายฝ่าย แต่หากวางแผนและเตรียมการอย่างดี ก็สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
สรุป
การผ่อนบ้านเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ แต่ด้วยการวางแผนและกลยุทธ์ที่เหมาะสม คุณสามารถลดระยะเวลาผ่อนและประหยัดดอกเบี้ยได้อย่างมหาศาล โดยเริ่มจากการประเมินสถานะทางการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน เลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระ และวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่พอเหมาะ
เทคนิคการผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการชำระเกินยอดทุกงวด ชำระเพิ่ม 1 งวดต่อปี โปะเงินต้นช่วงดอกเบี้ยต่ำ การชำระตรงเวลาเสมอ หรือการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการรีไฟแนนซ์และรีเทนชั่น ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาผ่อนบ้าน จาก 30 ปี เหลือเพียง 10-15 ปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ แม้ในระหว่างที่ยังผ่อนบ้านไม่หมด คุณก็สามารถขายบ้านได้หากจำเป็น โดยต้องดำเนินการตามขั้นตอนการไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้อง
ท้ายที่สุด การบริหารจัดการหนี้บ้านอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระทางการเงินในระยะยาว แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่อิสรภาพทางการเงินและความมั่นคงในอนาคต
#สาระ #การเงิน #ผ่อนบ้าน #โปะหนี้บ้าน #รีไฟแนนซ์บ้าน #ลดระยะเวลาผ่อนบ้าน #หนี้บ้าน #สินเชื่อบ้าน