แตงกวาเป็นผักสวนครัวยอดนิยมที่หลายคนชอบรับประทานและนำมาตกแต่งจานอาหาร แม้อยู่ในคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ห้องเล็กๆ ก็สามารถปลูกแตงกวาในกระถางได้ บทความนี้จะแนะนำวิธีปลูกแตงกวาในกระถางแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่ให้ได้ผลผลิตดี ติดผลดก สามารถเก็บกินได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มาก เพียงรู้เทคนิคและวิธีการดูแลที่ถูกต้อง คุณก็จะได้แตงกวาสดๆ ปลอดสารพิษไว้รับประทานเองที่บ้าน

ทำไมแตงกวาถึงเหมาะกับการปลูกในกระถาง?
แตงกวาเป็นพืชที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและให้ผลผลิตไว เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่เริ่มต้นปลูกผัก โดยใช้เวลาเพียง 32-35 วันหลังหยอดเมล็ดก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว แม้แตงกวาจะเป็นพืชเถาเลื้อย แต่ก็สามารถจัดการให้เติบโตในพื้นที่จำกัดได้โดยการทำค้างหรือซุ้มให้เลื้อย
ข้อดีอีกประการของการปลูกแตงกวาในกระถางคือ คุณสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า สามารถเคลื่อนย้ายกระถางไปยังจุดที่เหมาะสมตามสภาพอากาศ และปรับเปลี่ยนดินและปุ๋ยได้ง่าย นอกจากนี้ แตงกวาที่ปลูกเองยังปลอดภัยจากสารเคมี ให้ความสดใหม่ และมีรสชาติดีกว่าที่ซื้อจากตลาด
แตงกวาเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีอากาศอบอุ่น ไม่ร้อนและไม่เย็นชื้นจนเกินไป ชอบแสงแดดและต้องการแสงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง การจัดวางกระถางในตำแหน่งที่ได้รับแสงอย่างเพียงพอจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกแตงกวาให้ประสบความสำเร็จ

อุปกรณ์จำเป็นสำหรับการปลูกแตงกวาในกระถางมีอะไรบ้าง?
ก่อนเริ่มปลูกแตงกวาในกระถาง คุณควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ซึ่งประกอบด้วย:
- เมล็ดพันธุ์แตงกวา – ควรเลือกเมล็ดที่มีคุณภาพดี แข็งแรง และสมบูรณ์ เนื่องจากสภาพอากาศแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกัน ควรเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของคุณ เช่น แตงกวาพันธุ์มัมมี่ที่เหมาะสำหรับปลูกในกระถาง
- ดินร่วนปนทราย – ดินที่เหมาะกับการปลูกแตงกวาควรเป็นดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี และผ่านการตากแดดมาแล้ว ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.8
- ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก – ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ควรผสมในอัตราส่วน 50:50 กับดิน หรือใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยคอก 3:1 ตามความเหมาะสม
- กระถางขนาดเล็กสำหรับเพาะกล้า – ใช้สำหรับเพาะเมล็ดให้งอกเป็นต้นกล้าก่อนย้ายลงกระถางใหญ่
- กระถางขนาดใหญ่ – สำหรับปลูกต้นแตงกวา ควรมีขนาดอย่างน้อย 14 นิ้ว เพื่อให้รากแตงกวามีพื้นที่เติบโตได้ดี
- ตะเกียบหรือไม้ไผ่ – สำหรับทำค้างให้เถาแตงกวาเลื้อยพัน ช่วยให้ต้นเติบโตได้ดีและผลแตงกวามีรูปร่างสวยงาม
- กรรไกรหรืออุปกรณ์สำหรับตัดแต่ง – ใช้สำหรับถอนต้นกล้าหรือตัดแต่งเถา
- ซุ้มไม้ระแนงหรือรั้ว – สำหรับให้เถาแตงกวาเลื้อยขึ้น (โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ปลูกในสวน)
การเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมจะช่วยให้กระบวนการปลูกแตงกวาราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกกระถางที่มีขนาดเหมาะสมและการเตรียมดินที่มีคุณภาพดี

เคล็ดลับการเตรียมดินที่เหมาะสมสำหรับแตงกวาควรทำอย่างไร?
การเตรียมดินที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แตงกวาเติบโตได้ดี ดินที่เหมาะสำหรับปลูกแตงกวาควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- ดินร่วนปนทราย – แตงกวาชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี ไม่อุ้มน้ำมากเกินไป ดินร่วนปนทรายจะช่วยให้รากเดินได้ง่าย ทำให้ต้นแตงกวาเติบโตได้เร็วขึ้น
- ดินอุดมสมบูรณ์ – ควรมีอินทรียวัตถุสูงและมีธาตุอาหารครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้แตงกวาเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตมาก
- ค่า pH ที่เหมาะสม – แตงกวาชอบดินที่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.5-6.8 ซึ่งไม่เป็นกรดหรือด่างเกินไป ทำให้แตงกวาดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่
วิธีการเตรียมดินสำหรับปลูกแตงกวาในกระถาง:
- ผสมดินและปุ๋ยหมัก – ผสมดินร่วนปนทรายกับปุ๋ยหมักในอัตราส่วนประมาณ 50:50 หรือตามความเหมาะสมของคุณภาพดิน แนะนำให้ผสมเศษใบไม้ลงไปด้วยเพื่อปรับสภาพดินให้คล้ายกับการปลูกลงพื้นดิน
- รองก้นกระถาง – ใส่กรวดหรือเศษหินมารองก้นกระถาง เพื่อให้น้ำระบายออกได้ดีและป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดโรครา
- ใส่ดินผสมลงในกระถาง – เทดินที่ผสมปุ๋ยหมักลงในกระถาง โดยไม่ต้องอัดแน่นเกินไป เพื่อให้ดินโปร่ง รากชอนไชได้ง่าย
- ตรวจสอบการระบายน้ำ – ทดสอบโดยรดน้ำลงไปเล็กน้อยและสังเกตว่าน้ำสามารถระบายออกจากก้นกระถางได้ดีหรือไม่
ดินที่เตรียมอย่างถูกต้องจะช่วยให้แตงกวามีภูมิต้านทานโรคที่ดีขึ้น เติบโตอย่างแข็งแรง และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ ดินที่มีการระบายน้ำดีจะช่วยลดปัญหารากเน่าและโรคที่เกิดจากเชื้อราได้อีกด้วย

ขั้นตอนการปลูกแตงกวาในกระถางทำอย่างไรให้ได้ผลดี?
การปลูกแตงกวาในกระถางมีขั้นตอนสำคัญที่ควรทำตามเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี ดังนี้:
1. การเพาะเมล็ด
เริ่มต้นด้วยการเพาะเมล็ดในกระถางเล็กก่อน โดยขุดหลุมดินตรงกลางกระถางให้ลึกประมาณ 1.2 เซนติเมตร แล้วใส่เมล็ดแตงกวาลงไป 4-5 เมล็ด วางเรียงให้กระจาย ไม่ควรวางซ้อนทับกัน จากนั้นกลบดินเบาๆ และรดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่แฉะจนเกินไป
เทคนิคเพิ่มเติม: คลุกเมล็ดด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มาก่อนหยอด เพื่อป้องกันเชื้อราและโรคพืช หรือคลุมหน้าดินด้วยฟางเพื่อรักษาความชื้นและช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น
2. การดูแลต้นกล้า
หลังจากหยอดเมล็ด นำกระถางไปวางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง และรดน้ำเช้า-เย็นทุกวัน ให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดยทั่วไปเมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 2-3 วัน
เมื่อต้นกล้าเริ่มงอก ควรให้ได้รับแสงแดดทันทีเพื่อไม่ให้ต้นยืดยาวสูงขึ้นมาเร็วเกินไป ซึ่งจะทำให้ต้นไม่แข็งแรง การรดน้ำควรทำอย่างระมัดระวัง รดเบาๆ อย่าให้น้ำกระแทกต้นกล้าจนล้ม
3. การย้ายต้นกล้า
เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกยาวขึ้นมาประมาณ 5-7 เซนติเมตร ให้คัดเลือกต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุดไว้ 2 ต้นต่อกระถาง และถอนต้นที่อ่อนแอทิ้งไป การถอนต้นกล้าควรทำอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบต้นที่เลือกไว้
จากนั้นนำต้นกล้าที่แข็งแรงย้ายไปปลูกในกระถางขนาดใหญ่ประมาณ 14 นิ้ว โดยปลูก 1-2 ต้นต่อกระถาง เพื่อให้ต้นแตงกวามีพื้นที่เพียงพอในการเติบโตและไม่แย่งอาหารกันเอง
4. การทำค้างหรือโครงสร้างรองรับ
แตงกวาเป็นพืชเถาเลื้อยจึงต้องมีโครงสร้างให้เลื้อยพัน ซึ่งมีสองรูปแบบคือ:
- แบบทรงพุ่ม – เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัด โดยใช้ตะเกียบหรือไม้ไผ่ปักลงในดินเพื่อเป็นหลักให้ต้นเลื้อยพัน
- แบบปล่อยเถาเลื้อย – ให้ผลผลิตดีกว่า โดยใช้ไม้ไผ่ยาวปักลงในกระถาง แล้ววางใกล้ๆ กับซุ้มไม้ระแนงหรือรั้วเพื่อให้เถาเลื้อยขึ้นไป วิธีนี้จะทำให้ผลแตงกวาตั้งตรงสวยงาม ไม่เป็นโรค และป้องกันแมลงได้ดีกว่า
การจัดการให้เถาเลื้อยขึ้นค้างอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ต้นแตงกวาได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง ระบายอากาศได้ดี ลดปัญหาโรคและแมลง และทำให้ผลแตงกวามีรูปร่างสวยงาม

เทคนิคการดูแลต้นแตงกวาในกระถางให้ออกผลดกคืออะไร?
การดูแลต้นแตงกวาในกระถางอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ต้นเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดก นี่คือเทคนิคสำคัญที่ควรทำ:
1. การรดน้ำอย่างเหมาะสม
แตงกวาเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก ต้องการน้ำถึง 3 ลิตรต่อวัน แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำโดนเถาหรือลำต้น มิฉะนั้นอาจทำให้ต้นเน่าได้ ควรรดน้ำที่ดินโคนต้นให้ชุ่ม และตรวจสอบให้แน่ใจว่ารากได้รับน้ำเพียงพอ
รดน้ำในช่วงเช้าและเย็นทุกวัน ตรวจสอบการระบายน้ำให้ดีไม่ให้มีน้ำขัง และปรับปริมาณน้ำตามสภาพอากาศในแต่ละวัน ในวันที่อากาศร้อนจัด อาจต้องรดน้ำบ่อยขึ้น
2. การจัดการแสงแดด
แตงกวาต้องการแสงแดดอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง จึงควรวางกระถางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง สำหรับการปลูกในอาคาร ควรตั้งกระถางไว้บริเวณระเบียงหรือหน้าต่างที่รับแสงได้ดี
ในช่วงที่อากาศร้อนจัด อาจต้องย้ายกระถางเข้าที่ร่มในช่วงบ่ายเพื่อไม่ให้ต้นแตงกวาได้รับแสงแดดมากเกินไป แตงกวาปลูกได้ดีในที่อากาศอบอุ่น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส
3. การใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ
แตงกวาที่ปลูกในกระถางต้องการปุ๋ยมากกว่าการปลูกในแปลง เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดและธาตุอาหารถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงแรกหลังย้ายต้นกล้า ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต
ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอทุกสัปดาห์หรือทุก 15 วัน เพื่อให้มีธาตุอาหารเพียงพอ มิฉะนั้นผลแตงกวาอาจลีบและไม่สวย เมื่อเริ่มออกดอก ควรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงเพื่อกระตุ้นการออกดอกและติดผล
4. การจัดการเถาและการตัดแต่ง
เมื่อต้นแตงกวาเริ่มเติบโตและมีเถาเลื้อย ควรจัดการให้เถาเลื้อยขึ้นค้างหรือโครงสร้างที่เตรียมไว้ อาจใช้เชือกช่วยผูกยึดเถาเพื่อให้เลื้อยไปในทิศทางที่ต้องการ
พิจารณาตัดแต่งยอดหากต้นเติบโตมากเกินไป และตัดแต่งใบที่แก่หรือเป็นโรค ซึ่งจะช่วยให้ต้นระบายอากาศได้ดีและลดการเกิดโรค การจัดการเถาที่ดีจะทำให้ผลแตงกวาไม่สัมผัสกับดิน ลดปัญหาผลเน่าและแมลงรบกวน
5. เคล็ดลับเพิ่มการติดผล
หากต้องการให้แตงกวาติดผลมากขึ้น อาจช่วยผสมเกสรด้วยตนเองโดยใช้พู่กันเล็กๆ แตะเกสรจากดอกตัวผู้ไปยังดอกตัวเมีย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแมลงผสมเกสรน้อย
เก็บผลแตงกวาบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ต้นผลิตผลใหม่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งเก็บบ่อย ต้นจะยิ่งให้ผลผลิตมากขึ้น ควรเก็บเกี่ยวในตอนเช้าหรือเย็นเมื่ออากาศเย็น เพื่อให้แตงกวายังคงความสดและกรอบได้นานกว่า

แตงกวาพร้อมเก็บเกี่ยวมีลักษณะอย่างไร?
การเก็บเกี่ยวแตงกวาในเวลาที่เหมาะสมจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี มีรสชาติหวาน และกรอบอร่อย โดยทั่วไป แตงกวาที่ปลูกในกระถางจะใช้เวลาตั้งแต่หยอดเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 60 วันขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม
สัญญาณที่บ่งบอกว่าแตงกวาพร้อมเก็บเกี่ยว:
- ขนาดของผล – แตงกวาพร้อมเก็บเกี่ยวเมื่อมีความยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ไม่ควรปล่อยให้ผลโตเกินไปเพราะจะทำให้เปลือกแข็งและมีรสชาติขม
- สีของผล – แตงกวาที่พร้อมเก็บเกี่ยวจะมีสีเขียวสด เปลือกเรียบ และมีความมันวาว หากเริ่มมีจุดเหลืองหรือสีซีด แสดงว่าแก่เกินไปแล้ว
- ความแข็งของผล – เมื่อบีบเบาๆ แตงกวาที่พร้อมเก็บเกี่ยวจะมีความแน่นและแข็ง ไม่นิ่มหรือเหี่ยว
- ระยะเวลาหลังดอกบาน – โดยทั่วไป แตงกวาจะพร้อมเก็บเกี่ยวประมาณ 10-14 วันหลังดอกบาน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ
เทคนิคการเก็บเกี่ยวแตงกวา:
- เก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสม – ควรเก็บแตงกวาในตอนเช้าหรือเย็น เมื่ออากาศเย็น เพราะจะทำให้แตงกวายังคงความสดและกรอบได้นานกว่า
- วิธีการเก็บที่ถูกต้อง – ควรใช้กรรไกรหรือมีดคมๆ ตัดขั้วผล อย่าดึงหรือบิดผล เพราะอาจทำให้ต้นเสียหายได้
- ความถี่ในการเก็บ – ควรเก็บแตงกวาทุก 1-2 วัน เพื่อให้ต้นมีกำลังผลิตผลใหม่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งเก็บบ่อย ต้นจะยิ่งให้ผลผลิตมากขึ้น
- การดูแลหลังเก็บเกี่ยว – ล้างแตงกวาด้วยน้ำสะอาดและเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสดได้นานขึ้น
การเก็บเกี่ยวแตงกวาในเวลาที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้ได้แตงกวาที่มีรสชาติดีเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ต้นผลิตผลใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้นานถึง 28-30 วัน

ปัญหาที่พบบ่อยในการปลูกแตงกวาและวิธีแก้ไขมีอะไรบ้าง?
การปลูกแตงกวาในกระถางอาจพบปัญหาบางประการ ซึ่งสามารถจัดการได้หากรู้วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง:
1. ต้นแตงกวาไม่ออกดอกหรือไม่ติดผล
สาเหตุ:
- ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ
- อุณหภูมิไม่เหมาะสม (ร้อนหรือเย็นเกินไป)
- ให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป
- ขาดแมลงผสมเกสร
วิธีแก้ไข:
- ย้ายกระถางไปในที่ที่รับแสงแดดได้มากขึ้น อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
- หลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงที่อากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด
- ใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงเพื่อกระตุ้นการออกดอกและติดผล
- ช่วยผสมเกสรด้วยตนเองโดยใช้พู่กันเล็กๆ
2. ใบแตงกวาเหลือง มีจุดสีน้ำตาล หรือเหี่ยว
สาเหตุ:
- ขาดธาตุอาหาร
- มีโรครา
- รดน้ำมากหรือน้อยเกินไป
- มีแมลงศัตรูพืชรบกวน
วิธีแก้ไข:
- ตรวจสอบการให้น้ำให้สม่ำเสมอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยสูตรสมดุลเพื่อเสริมธาตุอาหาร
- ตัดแต่งใบที่เป็นโรคทิ้งและฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มา
- ตรวจสอบและกำจัดแมลงด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น น้ำสบู่อ่อนหรือสารสกัดสะเดา
3. ผลแตงกวามีรูปร่างผิดปกติหรือมีขนาดเล็ก
สาเหตุ:
- การผสมเกสรไม่สมบูรณ์
- ขาดธาตุอาหารบางชนิด
- สภาพอากาศแปรปรวน
- โรคและแมลง
วิธีแก้ไข:
- ช่วยผสมเกสรด้วยตนเอง
- ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วน
- รักษาสภาพแวดล้อมให้คงที่ วางกระถางในที่ที่เหมาะสม
- หมั่นตรวจสอบและป้องกันโรคและแมลง
4. ต้นแตงกวาเหี่ยวเฉาทั้งที่รดน้ำเพียงพอ
สาเหตุ:
- โรครากเน่าหรือโคนเน่า
- รดน้ำมากเกินไปจนรากขาดอากาศ
- มีเชื้อราในดินหรือโรคเหี่ยวเฉา
วิธีแก้ไข:
- ตรวจสอบการระบายน้ำของกระถางและแก้ไขหากมีปัญหา
- ลดปริมาณการให้น้ำและให้ดินได้แห้งบ้างระหว่างการรดน้ำแต่ละครั้ง
- ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาราดรอบโคนต้น
- หากอาการรุนแรง อาจต้องเริ่มปลูกใหม่ในกระถางสะอาด
การแก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มพบอาการจะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนยากแก่การแก้ไข การปลูกแตงกวาในกระถางช่วยให้สังเกตปัญหาได้ง่ายและจัดการได้รวดเร็วกว่าการปลูกในแปลงใหญ่
สรุป
การปลูกแตงกวาในกระถางเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด ไม่ว่าจะอยู่คอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่น้อย ด้วยการเลือกกระถางขนาดที่เหมาะสม การเตรียมดินที่มีคุณภาพ และการดูแลอย่างถูกวิธี คุณก็สามารถปลูกแตงกวาไว้รับประทานเองที่บ้านได้ ไม่เพียงแต่ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารเคมี แต่ยังได้ความสดใหม่และรสชาติที่ดีกว่าที่ซื้อจากตลาด
ความสำเร็จของการปลูกแตงกวาในกระถางขึ้นอยู่กับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การจัดการแสงแดด และการป้องกันโรคและแมลง แม้อาจพบปัญหาบ้างในระหว่างการปลูก แต่ด้วยความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้ และเก็บเกี่ยวแตงกวาสดใหม่ไว้รับประทานได้อย่างต่อเนื่อง
การปลูกแตงกวาในกระถางไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลาย บำรุงสุขภาพจิตใจ และสร้างความภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นผลผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เริ่มปลูกแตงกวาในกระถางวันนี้ และคุณจะได้เพลิดเพลินกับแตงกวาสดๆ จากกระถางสู่จาน อร่อย ปลอดภัย และมีความสุขกับการปลูกผักกินเองที่บ้าน
#สาระ #แตงกวา #ปลูกผักในกระถาง #ปลูกผักกินเอง #วิธีปลูกแตงกวา #ผักสวนครัว #การปลูกผักในพื้นที่จำกัด #ปลูกผักปลอดสาร