การปลูกพริกในกระถางเป็นกิจกรรมที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้ครอบครัวได้วัตถุดิบทำอาหารสดใหม่ใช้เอง พร้อมทั้งเป็นการผ่อนคลายจากความเครียด พริกมีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ดและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเจริญอาหาร ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน และมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง วิธีการปลูกพริกในกระถางนั้นไม่ซับซ้อน แต่ต้องมีเทคนิคและการดูแลที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี

พันธุ์พริกไหนเหมาะสำหรับปลูกในกระถาง?
พริกมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum spp. เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae ตระกูลเดียวกับมันฝรั่งและมะเขือ1 ลักษณะของต้นพริกเป็นไม้ล้มลุกความสูงประมาณ 1-2.5 ฟุต มีลำต้นหลักเพียงต้นเดียวแต่จะแตกกิ่งออกไปเป็นพุ่มขนาดเล็ก ออกเป็นใบเดี่ยวทรงกลมรีและปลายแหลม ดอกสีขาว 1-3 ดอก ผลสีเขียวเมื่ออ่อน เมื่อโตเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม หรือแดงปนน้ำตาล
สำหรับการปลูกในกระถาง พันธุ์ที่เหมาะสมได้แก่ พริกขี้หนูผลใหญ่ พริกขี้หนูผลเล็ก และพริกใหญ่ ระดับความเผ็ดของพริกแบ่งตามปริมาณสารแคปไซซินออกเป็น 3 ระดับ โดยใช้หน่วยเป็นสโควิลล์ (Scoville) พริกเผ็ดมากจะมีความเผ็ดอยู่ในช่วง 70,000-175,000 สโควิลล์ พริกเผ็ดกลางอยู่ในช่วง 35,000-70,000 สโควิลล์ และพริกเผ็ดน้อยหรือไม่เผ็ดอยู่ในช่วง 0-35,000 สโควิลล์
สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้เลือกพริกขี้หนูซึ่งเป็นพริกเผ็ดกลางที่นิยมนำมาทำอาหาร เนื่องจากดูแลง่ายและให้ผลผลิตดี พันธุ์พริกเหล่านี้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในกระถางได้ดีและมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
อุปกรณ์และวัสดุที่จำเป็นสำหรับการปลูกมีอะไรบ้าง?
การเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญของการปลูกพริกให้สำเร็จ อุปกรณ์หลักที่ต้องเตรียมประกอบด้วย เมล็ดพริกหรือพริกขี้หนูสำหรับเก็บเมล็ด กระถางเล็กสำหรับเพาะต้นกล้าและกระถางใหญ่สำหรับปลูกต้นพริกขนาดเต็มตัว ดินร่วนปนทรายซึ่งเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี ปุ๋ยสูตรโพแทสเซียมสูงกว่าไนโตรเจน อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับปลูกต้นไม้ กะละมังหรือถาดพลาสติกสำหรับแช่เมล็ด และน้ำอุ่นสำหรับการเตรียมเมล็ด
ในการเลือกกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีขนาดพอเหมาะไม่ต้องใหญ่มากเกินไป กระถางควรมีรูระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันน้ำขัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรครากเน่าในพริก สำหรับดิน ต้องเป็นดินร่วนปนทรายที่ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ที่มีสูตรโพแทสเซียมมากกว่าไนโตรเจน เนื่องจากโพแทสเซียมช่วยเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิต
ปุ๋ยที่เหมาะสมสำหรับพริกควรเป็นปุ๋ยสูตรสมดุล เช่น 16-16-16 หรือ 15-15-15 สำหรับช่วงเริ่มต้น และปุ๋ยสูตร 46-0-0 สำหรับการเพาะกล้า การเลือกใช้ปุ๋ยที่ถูกต้องจะช่วยให้ต้นพริกเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตมากขึ้น

ขั้นตอนการเตรียมเมล็ดและเพาะกล้าทำอย่างไร?
การเตรียมเมล็ดพริกอย่างถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ขั้นตอนแรกคือการนำพริกพันธุ์ที่จะปลูกไปแช่ในน้ำอุ่นไว้ประมาณ 1 วันและนำออกมาผึ่งแดดอีกครึ่งวัน เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด จากนั้นจึงแกะเมล็ดพริกออกมาเพื่อเตรียมปลูก วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการงอกของเมล็ดและลดระยะเวลาการงอก
สำหรับการเพาะต้นกล้า ให้ผสมดินร่วนปนทรายเข้ากับปุ๋ยหมักสูตรโพแทสเซียมสูงกว่าไนโตรเจนลงในกระถางเพาะต้นกล้าพริก จากนั้นขุดหลุมดินในกระถางให้ลึกประมาณครึ่งนิ้วหรือ 1-2 เซนติเมตร แล้วหย่อนเมล็ดพริกที่เตรียมไว้ลงในหลุมประมาณ 4-5 เมล็ด กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน วันละครั้ง
ในระยะเพาะกล้า ควรบำรุงต้นกล้าด้วยปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะละลายน้ำ 20 ลิตร ให้รดบำรุง 5-7 วัน/ครั้ง ที่สำคัญต้องวางกระถางเพาะไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงเพียงพอ แต่ไม่จัดจนเกินไป เมื่อต้นกล้าแทงยอดแล้วปล่อยให้เจริญเติบโตจนสูงขนาด 4-5 นิ้ว หรือมีใบจริง 3-4 ใบ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 25-30 วัน
การย้ายกล้าและจัดวางกระถางต้องคำนึงถึงอะไร?
เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกสูง 6 นิ้วขึ้นไปและออกใบให้เห็น ให้เลือกถอนต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ออกแล้วเก็บต้นที่สมบูรณ์ไว้ 2 ต้น เคล็ดลับในขั้นตอนนี้คือการเลือกเก็บไว้ 2 ต้นเพื่อให้ต้นพริกได้แย่งอาหารกัน เมื่อต้นที่แข็งแรงที่สุดให้ผลผลิตแล้ว ก็ตัดต้นที่ไม่แข็งแรงออก หรือหากต้องการต้นเดียวก็เลือกเก็บเฉพาะต้นที่แข็งแรงที่สุดเพียง 1 ต้น
หลังจากนั้นทำการย้ายต้นกล้าพริกไปปลูกในกระถางใหญ่ที่มีดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยหมักเช่นเดียวกับขั้นตอนเพาะต้นกล้าพริก การย้ายกล้าควรทำในช่วงเย็นหรือเช้าตรู่เพื่อลดความเครียดของต้นกล้า หลังย้ายกล้า 7 วัน จึงเริ่มการบำรุงด้วยปุ๋ยสูตร 16-16-16 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ หรือปรับอัตราให้เหมาะสมกับขนาดกระถาง
สำหรับการวางตำแหน่งกระถาง พริกเป็นพืชที่ชอบแสงแดดแต่ไม่จัดมาก ควรวางกระถางปลูกต้นพริกในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงเพียงครึ่งวันหรือในที่ที่ได้รับแสงแดดอ่อนๆ ห้ามวางในที่ที่โดนแสงแดดจัดตลอดวันเพราะจะทำให้ใบเหี่ยวและต้นเสื่อมสภาพ ควรเลือกพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดีและป้องกันลมแรงที่อาจทำให้ต้นหักได้
วิธีการรดน้ำและให้ปุ๋ยที่ถูกต้องคืออะไร?
การรดน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องควบคุมอย่างระมัดระวัง ในช่วงแรกหลังย้ายกล้าควรรดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะจนเกินไปทุกวันเช้า-เย็น เมื่อพริกเริ่มติดดอกและออกผลแข็งแรงแล้ว ให้เปลี่ยนไปรดน้ำแบบวันเว้นวัน หรือรดน้ำ 3-4 วัน/ครั้ง ข้อสำคัญคือไม่ควรปล่อยให้ต้นพริกขาดน้ำนานๆ ซึ่งจะทำให้ลูกเล็กและลีบ ใบจะหงิกไม่สวยงาม
ต้องสังเกตการระบายน้ำในดินให้ดีอย่าให้มีน้ำขัง เนื่องจากน้ำขังเป็นสาเหตุของโรครากเน่าและโรคเหี่ยวเขียวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum โรคนี้จะทำให้ต้นพริกเหี่ยวในเวลากลางวันแม้ว่าดินจะมีความชุ่มน้ำอยู่ และเป็นโรคที่รักษายากมาก
สำหรับการให้ปุ๋ย ควรหมั่นใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง แต่เลี่ยงการใส่ปุ๋ยใต้โคนต้นพริกโดยตรงเพราะจะทำให้รากเน่าและต้นพริกตายได้ ควรใส่ปุ๋ยรอบโคนต้นแต่ไม่ให้ชิดโคนต้นจนเกินไป หลังย้ายกล้า 15-20 วัน พริกจะเข้าสู่ช่วงแตกข้อแตกทรงพุ่ม แนะนำบำรุงด้วยปุ๋ยสูตร 16-16-16 อัตรา 20-30 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อให้พริกแตกข้อดีและออกดอกมาก

เทคนิคการทำให้พริกออกลูกดกมีอะไรบ้าง?
การทำให้พริกมีลูกดกมีเทคนิคหลายประการ เทคนิคแรกคือการเด็ดยอดก่อนที่พริกจะเริ่มติดดอก ให้เด็ดยอดทิ้งบ่อยๆ เพื่อให้พริกแตกกิ่งก้านและยอดอ่อนออกมามากขึ้น การเด็ดยอดจะกระตุ้นให้ต้นสร้างใบและกิ่งใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้มีจุดออกดอกมากขึ้นและผลผลิตเพิ่มขึ้น
เทคนิคที่สองคือการใช้วิธีปลูกพืชกลับหัวหรือแกล้งพริก โดยการปลูกพริกด้วยการแขวนกระถางและให้ต้นพริกห้อยหัวลงข้างล่าง ซึ่งจะทำให้ต้นพริกพยายามเอาตัวรอดและเร่งออกลูกมาเพื่อขยายพันธุ์ วิธีนี้ต้นพริกจะอยู่ส่วนล่างใต้กระถางและมีผลผลิตมากกว่าการปลูกแบบปกติ
การควบคุมน้ำและปุ๋ยในช่วงติดดอกก็เป็นเทคนิคสำคัญ ในช่วงติดดอกให้รดน้ำ 3-4 วัน/ครั้งและใส่ปุ๋ยอินทรีย์รอบโคนต้น การลดปริมาณน้ำจะกระตุ้นให้ต้นพริกเครียดเล็กน้อยและเร่งการออกดอกติดผล นอกจากนี้การพรวนดินเป็นระยะเพื่อกำจัดวัชพืชและเพิ่มการระบายอากาศให้รากก็จะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและผลผลิต

ปัญหาโรคและแมลงศัตรูที่พบบ่อยในพริกมีอะไร?
โรคสำคัญที่ต้องระวังในการปลูกพริกคือโรคเหี่ยวเขียวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum โรคนี้จะทำให้ต้นพริกมีอาการเหี่ยวโดยเริ่มที่ยอดพริกและใบอ่อน จากนั้นจะเหี่ยวลามมาถึงใบข้างล่างจนกระทั่งเหี่ยวทั้งต้น อาการเหี่ยวจะเกิดขึ้นเฉพาะกลางวันที่มีอากาศร้อนจัดๆ แม้พื้นดินจะชื้นอยู่ก็ตาม และจะกลับมาปกติในเวลาตอนเย็นหรือตอนกลางคืน
เมื่อถอนต้นที่เป็นโรคขึ้นจะพบว่ารากเน่าและเมื่อตัดบริเวณโคนต้นตามขวางจะพบวงแหวนสีน้ำตาลบริเวณท่อน้ำท่ออาหาร และมีเมือกสีขาวลักษณะเหนียวหนืด การป้องกันโรคนี้ทำได้โดยการตากดินฆ่าเชื้อ 2-3 อาทิตย์ก่อนปลูก ใช้ปูนขาวปรับ pH ดิน และไม่ให้น้ำขังในกระถาง
แมลงศัตรูสำคัญของพริกคือเพลี้ยไฟพริก (Scirtothrips dorsalis) ซึ่งมักพบการระบาดตั้งแต่หลังย้ายปลูก 1 เดือน เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายบริเวณยอดและใบอ่อน ทำให้ยอดหรือใบอ่อนหงิก เมื่อใบพริกแก่จะเห็นเป็นรอยกร้านสีน้ำตาล ส่งผลให้การสังเคราะห์แสงลดลงและพริกชะงักการเจริญเติบโต แมลงศัตรูอื่นๆ ที่พบบ่อยได้แก่ เพลี้ยอ่อนและไรขาว
การป้องกันแมลงศัตรูสามารถทำได้ด้วยวิธีธรรมชาติโดยการตำใบสะเดา หัวข่า และตะไคร้หอมรวมกัน กรองเอาแต่น้ำไปผสมน้ำเปล่าในอัตรา 1:10 ก่อนนำไปพ่นที่ต้นพริก วิธีนี้ปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การตรวจดูต้นพริกเป็นประจำจะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที

ระยะเวลาเก็บเกี่ยวและการดูแลหลังเก็บผลผลิตทำอย่างไร?
ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวเมล็ดพริกขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่นำมาปลูก1 สำหรับพริกขี้หนูจะออกดอกและให้ผลประมาณเดือนที่ 2-3 ของการปลูก ต้นพริกจะมีช่วงอายุการให้ผลผลิตที่ยาวนานหากได้รับการดูแลอย่างดี ผลพริกที่เก็บเกี่ยวควรมีลักษณะสมบูรณ์ สีสันสวยงาม และขนาดที่เหมาะสมตามพันธุ์
การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้าตรู่หรือเย็นเมื่ออากาศเย็นสบาย เพื่อให้ผลพริกมีความสดและคงคุณภาพได้นาน การใช้กรรไกรหรือมีดตัดที่สะอาดจะป้องกันการติดเชื้อและไม่ทำลายต้นพริก ผลพริกที่เก็บได้สามารถนำไปใช้ทันทีหรือเก็บรักษาได้โดยการแช่แข็งหรือทำแห้ง
หลังการเก็บเกี่ยว ต้นพริกยังคงให้ผลผลิตต่อเนื่องได้หากได้รับการดูแลที่ดี ควรตัดแต่งกิ่งที่แก่และเสื่อมสภาพออก เพิ่มปุ๋ยเพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่ และรักษาความชุ่มชื้นในดินให้เหมาะสม การหมุนเวียนการปลูกพืชจะช่วยป้องกันการสะสมของโรคและแมลงศัตรูในดิน ไม่ควรปลูกพริกในกระถางเดิมซ้ำหลายรอบติดกัน
สรุป
การปลูกพริกในกระถางเป็นกิจกรรมที่ให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งการได้วัตถุดิบทำอาหารสดใหม่ การผ่อนคลายความเครียด และการประหยัดค่าใช้จ่าย ความสำเร็จของการปลูกพริกขึ้นอยู่กับการเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม การเตรียมดินและกระถางที่ถูกต้อง การควบคุมน้ำและปุ๋ยอย่างเหมาะสม และการป้องกันโรคแมลงอย่างสม่ำเสมอ
เทคนิคสำคัญที่ต้องจำไว้คือการเด็ดยอดเพื่อกระตุ้นการแตกกิ่ง การควบคุมน้ำในช่วงติดดอก การวางกระถางในที่ที่ได้รับแสงแดดเหมาะสม และการตรวจดูต้นพริกเป็นประจำ หากปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างถูกต้อง จะได้ต้นพริกที่แข็งแรง ให้ผลผลิตดก และสามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
#สาระ #การปลูกพริกในกระถาง #วิธีปลูกพริก #ปลูกพริกที่บ้าน #เทคนิคปลูกพริก #พริกขี้หนู #ผักสวนครัว #ปลูกผักที่บ้าน #การดูแลต้นพริก #ผลผลิตพริก #โรคพริก #แมลงศัตรูพริก #ปุ๋ยพริก