การปลูกอะโวคาโดที่บ้านเป็นเรื่องที่หลายคนสนใจ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง และสามารถนำมาใช้ในการทำอาหารได้หลากหลาย แม้ว่าจะมีความท้าทายในการปลูกและต้องใช้เวลานานในการรอผลผลิต แต่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้องและการดูแลอย่างเหมาะสม ก็สามารถปลูกอะโวคาโดจากเมล็ดได้สำเร็จ โดยมีทั้งวิธีการปลูกในดินและในน้ำ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและขั้นตอนที่แตกต่างกัน

อะโวคาโดคืออะไรและมีลักษณะอย่างไร?
อะโวคาโดมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Persea Americana เป็นต้นไม้พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก1 ลักษณะของต้นอะโวคาโดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูงได้ถึง 18 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวรูปรี มีสีเขียวสด มีขนนุ่มสั้นปกคลุมทั่วใบ ดอกออกสีเขียวอมเหลือง ขนาดเล็กและออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
ผลอะโวคาโดมีลักษณะเป็นรูปไข่ ทรงคล้ายสาลี่ มีสีเขียวสวย มีทั้งแบบผลกลมและผลรี มีทั้งเปลือกบางและเปลือกหนา มีทั้งผิวขรุขระและผิวเรียบขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เมื่อสุกจะมีรสชาติมันคล้ายเนย ด้านในมีเนื้อสีเหลืองอ่อนถึงสีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียด เพราะมีส่วนประกอบเป็นน้ำมัน 30% และโปรตีนสูงอีกด้วย
ในประเทศไทยมีการปลูกอะโวคาโดมานานกว่า 80 ปี นำเข้ามาโดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน ปลูกครั้งแรกในจังหวัดน่าน ปัจจุบันอะโวคาโดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากหลาย

สายพันธุ์อะโวคาโดไหนที่เหมาะสำหรับการปลูกในประเทศไทย?
ลักษณะของพันธุ์อะโวคาโดที่ดีควรจะมีคุณภาพเนื้อที่ดี มีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูง เนื้อแน่นและนิ่ม แต่ไม่เละ ไม่มีเสี้ยน ไม่เป็นน้ำตาลง่ายเมื่อผ่า และไม่มีกลิ่นฉุน เมื่อผลแก่ก็อยู่บนต้นได้นานไม่ร่วงง่าย และมีผลเปลือกหนา ผลขนาดไม่ใหญ่เกินไป
สายพันธุ์ยอดนิยมที่แนะนำ
สายพันธุ์ปีเตอร์สัน มีผลกลม ขนาดกลางถึงเล็ก น้ำหนักประมาณ 200-300 กรัมต่อผล เนื้อสีเหลืองอมเขียว รสชาติดี สายพันธุ์รูเฮิล ลักษณะผลค่อนข้างกลม ทรงสูงเล็กน้อย น้ำหนักประมาณ 200-300 กรัมต่อผล เนื้อสีเหลืองอมเขียว รสชาติดี
สายพันธุ์บัคคาเนียร์ ต้นเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง ผลค่อนข้างกลมรี น้ำหนักประมาณ 300-500 กรัมต่อผล ผิวสีเขียวขรุขระ เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน รสชาติดี สายพันธุ์เฟอร์ออเท่ ผลทรงยาว ขนาดเล็กถึงกลาง น้ำหนัก 200-500 กรัมต่อผล เปลือกหนาสีเขียว ผิวขรุขระเล็กน้อย เนื้อสีเหลืองครีม
สายพันธุ์บูธ 7 ผลค่อนข้างกลม ขนาดกลาง น้ำหนัก 300-500 กรัมต่อผล เปลือกสีเขียว ผิวขรุขระ เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน รสชาติดี มีไขมัน 7-14%

วิธีปลูกอะโวคาโดจากเมล็ดในกระถางด้วยดินมีขั้นตอนอย่างไร?
การปลูกอะโวคาโดด้วยดินเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยมีขั้นตอนที่ต้องระมัดระวังในการเตรียมเมล็ดและการปลูก
การเตรียมเมล็ดและการงอกรากในถุงพลาสติก
ขั้นตอนแรกคือการแกะเมล็ดออกจากผลอะโวคาโด โดยพยายามอย่าใช้มีด เพราะอาจจะทำให้เมล็ดอะโวคาโดเสียหายได้ จากนั้นนำเมล็ดไปล้างน้ำอุ่นอย่างระมัดระวัง พร้อมใช้ผ้าหรือแปรงนุ่มถูเศษเนื้อที่ติดอยู่บนเมล็ดออกจนหมด
ห่อเมล็ดด้วยกระดาษชำระหรือผ้าสักหลาดชื้น แล้วใส่ลงในถุงพลาสติก ไม่ต้องรูดซิปปิด นำไปเก็บไว้ในที่ไม่มีแสงส่อง ตรวจดูเมล็ดในถุงอย่างน้อยทุก 4 วัน โดยให้เช็กว่ากระดาษชำระยังเปียกอยู่ไหม ใช้เวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์รากก็จะเริ่มงอก
การปลูกลงในกระถางเมื่อรากงอกแล้ว
เมื่อรากยาวถึง 3 นิ้ว ก็ถึงเวลานำเมล็ดลงไปปลูกในกระถางได้แล้ว หากรากยาวเกิน 3 นิ้ว ให้ตัดออกด้วยอุปกรณ์ที่สะอาด จนรากมีขนาดยาวแค่ 3 นิ้ว เตรียมดินและกระถางให้พร้อม โดยควรใช้เป็นกระถางขนาด 8 นิ้ว ที่มีรูระบายน้ำ รวมถึงต้องเลือกใช้ดินที่ระบายน้ำได้ดีและผสมทรายเล็กน้อย
ใส่ดินลงไปในกระถางประมาณครึ่งกระถาง จากนั้นนำเมล็ดที่มีรากสมบูรณ์มาวางลงไป โดยให้เมล็ดส่วนฐาน (ฝั่งที่มีรากหรือฝั่งที่อ้วนและกลมกว่า) อยู่ด้านล่างติดกับดิน ส่วนเมล็ดส่วนหัว (ฝั่งที่แหลมและเรียวกว่า) ต้องไม่ติดดิน ต้องระมัดระวังในการวางเมล็ดลงไปอย่างมาก อย่าให้รากแตกหรือหักเด็ดขาด

วิธีปลูกอะโวคาโดในน้ำด้วยไม้จิ้มฟันทำอย่างไร?
วิธีปลูกอะโวคาโดในน้ำเป็นวิธีที่นิยมกันมาก เพราะสามารถมองเห็นการเจริญเติบโตของรากได้ชัดเจน และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
การเตรียมเมล็ดและการแทงไม้จิ้มฟัน
แกะเมล็ดออกมาล้างและถูให้สะอาดจนไม่มีเนื้อติด โดยระวังอย่าให้เปลือกสีน้ำตาลหลุด1 นำส่วนล่างของเมล็ดอะโวคาโดใส่ลงในน้ำ เพราะรากจะงอกจากส่วนนี้ ซึ่งมีจุดสังเกตคือฐานที่กว้าง อ้วน และกลมกว่าส่วนบนของเมล็ดอะโวคาโด
นำไม้จิ้มฟัน 4 ไม้ มาแทงเข้าไปในเมล็ดอะโวคาโดแบบลึกพอประมาณ โดยให้เว้นระยะห่างของแต่ละไม้ให้พอดี รวมถึงแทงในมุมที่เฉียงลงมาด้านล่างเล็กน้อยด้วย เพราะจะใช้ไม้นี้เป็นไม้ค้ำในการหย่อนเมล็ดอะโวคาโดลงไปในน้ำ
การดูแลและการย้ายลงดิน
นำแก้วใสใส่น้ำมาจนเกือบเต็ม แล้วนำเมล็ดอะโวคาโดหย่อนลงไปในน้ำ โดยใช้ไม้จิ้มฟันที่เสียบเข้าไปเป็นตัวค้ำ สาเหตุที่ต้องใช้แก้วใสก็เป็นเพราะแก้วแบบนี้จะทำให้เรามองเห็นน้ำข้างในได้ง่าย ซึ่งจะนำมาสู่ระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำที่เหมาะสม
รอจนกว่าเมล็ดจะแตกและงอก ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 2-8 สัปดาห์ ส่วนบนของเมล็ดจะเริ่มแห้งและลอกออกจนเกิดเป็นลำต้น ส่วนด้านล่างก็จะแตกและเริ่มมีรากงอก ต้องระวังอย่าให้รากแห้งเฉาอยู่ในน้ำ เมื่อต้นสูงประมาณ 6 นิ้ว ให้นำไม้จิ้มฟันออก แล้วย้ายไปปลูกลงดิน โดยตัดรากให้เหลือแค่ 3 นิ้ว

การดูแลต้นอะโวคาโดหลังปลูกต้องทำอย่างไร?
การดูแลต้นอะโวคาโดหลังปลูกเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการออกผลของต้นในอนาคต
การให้น้ำและการใส่ปุ๋ย
หมั่นดูแลรดน้ำให้ต้นอะโวคาโดอย่างสม่ำเสมอ โดยต้นอะโวคาโดชอบน้ำปานกลาง ไม่เยอะหรือน้อยจนเกินไป ช่วงที่ปลูกแรกให้รดน้ำทุกวัน หลังจากต้นโตประมาณเดือนหนึ่ง ก็ให้รดน้ำวันเว้นวัน ถ้าวันไหนที่อากาศแล้งก็สามารถฉีดสเปรย์ละอองหมอกลงไปได้1
อะโวคาโดชอบดินชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ ระบายน้ำดี ถ้ารดน้ำมากเกินไป ใบจะกลายเป็นสีเหลือง วิธีแก้คือให้เว้นระยะไว้ประมาณ 2-3 วัน แล้วค่อยรดใหม่ เมื่อใบเริ่มงอกสามารถใส่ปุ๋ยสูตร 7-9-5 ในทุก 3 เดือนได้ หรือไม่ก็อาจจะเลือกเป็นปุ๋ยละลายช้าฉีดลงไปที่หน้าดินแทน
การตัดแต่งและการป้องกันศัตรูพืช
เมื่อต้นสูงได้ประมาณ 12 นิ้ว ให้เด็ดยอดอ่อนออกสัก 2 ยอด เพื่อช่วยให้กิ่งแผ่ออกและเจริญเติบโต แล้วพอต้นสูงเพิ่มอีก 6 นิ้ว ก็ให้เด็ดยอดอ่อนออกอีก 2 ยอดเช่นเดิม1 ควรเปลี่ยนกระถางบ่อย เพราะรากของต้นอะโวคาโดจะโตขึ้นเรื่อย จนเมื่อไหร่ที่รากพอดีกับกระถางขนาด 24 นิ้ว นั่นก็เป็นสัญญาณของการเริ่มผลิดอกออกผลแล้ว
กำจัดแมลงหรือเพลี้ยอ่อนให้ต้นอะโวคาโด ด้วยการฉีดน้ำล้างที่ใบเพื่อให้แมลงหลุด จากนั้นก็นำน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำมันสะเดาใส่ลงไปในขวดสเปรย์เล็ก แล้วนำไปพ่นตามใบ ต้นอะโวคาโดสามารถปลูกไว้นอกบ้านในหน้าร้อนได้ แต่พอหน้าหนาวที่หนาวมาก ให้นำต้นอะโวคาโดเข้ามาข้างในแทน เพราะอะโวคาโดเป็นต้นไม้ที่ทนต่ออากาศหนาวเย็นไม่ค่อยได้

ประโยชน์ของอะโวคาโดต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง?
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีประโยชน์และสรรพคุณที่หลากหลาย สามารถช่วยบำรุงได้ทั้งด้านสุขภาพและความงาม
ประโยชน์ด้านระบบหัวใจและหลอดเลือด
อะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความอ้วน และลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยบำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และช่วยลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดดี (HDL) และยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) มีโพแทสเซียมที่ช่วยในการควบคุมความดันโลหิต และมีวิตามินเคที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ประโยชน์ด้านระบบภูมิคุ้มกันและการต้านอนุมูลอิสระ
อะโวคาโดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ อุดมด้วยวิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง และช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัดได้
มีวิตามินอี ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและมีฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระ จึงทำให้สุขภาพแข็งแรงห่างไกลอาการเจ็บป่วยมากขึ้น ช่วยบำรุงผิว ชะลอริ้วรอยแห่งวัย วิตามินซียังช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอความแก่ ลดริ้วรอยแห่งวัย และช่วยสร้างคอลลาเจน
ประโยชน์ด้านการย่อยอาหารและการควบคุมน้ำหนัก
อะโวคาโดมีกากใยสูง (ไฟเบอร์สูง) ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ การรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโดช่วยลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือด เนื่องจากมีไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตที่จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

ข้อควรระวังและเคล็ดลับในการปลูกอะโวคาโดสำหรับผู้เริ่มต้น
การปลูกอะโวคาโดมีข้อควรระวังหลายประการที่ผู้เริ่มต้นควรทราบ เพื่อให้การปลูกประสบความสำเร็จและได้ผลผลิตที่ดี
ข้อควรระวังเกี่ยวกับระยะเวลาและผลผลิต
การปลูกต้นอะโวคาโดทั้งสองวิธีอาจจะไม่ให้ผลก็ได้ หรือบางต้นก็อาจจะให้ผลเร็ว (ประมาณ 3-4 ปี) หรือช้า (ประมาณ 15 ปีขึ้นไป) ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ต้นอะโวคาโดจะปลูกยากไปและไม่รู้ว่าต้องรอผลไปถึงเมื่อไหร่ แต่การปลูกต้นอะโวคาโดไว้ในบ้านก็ดูเก่ เท่ และแปลกใหม่ไม่น้อย
การปลูกในเข่งก็สามารถทำได้ โดยใช้กระถางที่มีขนาดใหญ่ และมีระบบน้ำสปริงเกอร์ ต้นจะเล็กลงและต้องตัดแต่งกิ่ง ดังนั้นผลผลิตจะไม่เยอะมาก แต่ก็ออกผลผลิตได้เหมือนกัน สำคัญต้องใส่ดินในเข่งที่มีขนาดใหญ่ และใส่ปุ๋ยบ่อย
เคล็ดลับการดูแลเพื่อความสำเร็จ
การเตรียมพื้นที่ปลูกควรจะเตรียมไว้ล่วงหน้า ปรับพื้นที่โดยการไถปรับดิน 2 ครั้ง โดยการขุดหลุมปลูกขนาด 50X50X50 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยคอก 1-2 กิโลกรัม ควรให้รอยต่อของกิ่งพันธุ์ดีอยู่เหนือระดับดิน กลบดินรอบโคนต้น รดน้ำให้ชุ่ม นำหลักมาปักและมัดยึดกันลมโยกและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้ง
เมื่อต้นอะโวคาโดถึงระยะออกดอกควรงดการให้น้ำ จนกว่าจะเกิดตาดอกและช่อดอกและช่อดอกเจริญจึงเริ่มให้น้ำใหม่ การปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวันวันละรอบ หรือถ้าอากาศแห้งจัดก็วันละ 2 รอบ ถ้ามีแดดจัดให้ใช้ร่มพรางแสงป้องกันใบไหม้
สรุป
การปลูกอะโวคาโดที่บ้านเป็นไปได้และไม่ยากเกินไป หากทำความเข้าใจขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้อง มีทั้งวิธีการปลูกในดินและในน้ำ แต่ละวิธีก็มีข้อดีและความเหมาะสมแตกต่างกัน การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศในประเทศไทยก็เป็นสิ่งสำคัญ ร่วมกับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะต้องรอผลผลิตนานบ้าง แต่นอกจากจะได้ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ยังได้ต้นไม้ประดับที่สวยงามและแปลกตาอีกด้วย ประโยชน์ของอะโวคาโดที่มีต่อสุขภาพก็คุ้มค่ากับการลงทุนเวลาและความพยายามในการปลูกและดูแล
#สาระ #อะโวคาโด #ปลูกอะโวคาโด #ปลูกผลไม้ #การเกษตรในบ้าน #ผลไม้เพื่อสุขภาพ #ปลูกจากเมล็ด #สวนครัวในบ้าน #เกษตรผสมผสาน #ต้นไม้ประดับ #การปลูกพืช