ทุเรียนได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งผลไม้ ด้วยรสชาติหวานมัน และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในประเทศไทยมีการปลูกทุเรียนมากกว่า 600 สายพันธุ์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าแต่ละสายพันธุ์มีเอกลักษณ์อย่างไร และอะไรคือเคล็ดลับในการเลือกทุเรียนให้ได้ลูกที่สุกกำลังดี? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสายพันธุ์ทุเรียนยอดนิยมของไทย พร้อมเคล็ดลับการเลือกให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจ

ทุเรียนไทยถูกแบ่งเป็นกี่กลุ่ม และแต่ละกลุ่มแตกต่างกันอย่างไร?
จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี กรมวิชาการเกษตร สามารถแบ่งทุเรียนที่ปลูกในเมืองไทยออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ตามลักษณะทรงของผล ได้แก่
- กลุ่มกบ – มีทรงผลกลม มีทั้งแบบทรงรี ทรงกลม และแป้น หนามโค้งงอ มี 46 สายพันธุ์ เช่น กบตาดำ กบทองคำ กบชายน้ำ กบพิกุล
- กลุ่มลวง – มีทรงผล 2 แบบ คือ ทรงกระบอกและทรงรี หนามเว้า มี 12 สายพันธุ์ เช่น ชะนี ชะนีก้านยาว รวงทอง สายหยุด
- กลุ่มก้านยาว – มีทรงผลกลม รูปไข่กลับ หนามนูน มี 8 สายพันธุ์ เช่น ก้านยาว ก้านยาววัดสัก ต้นใหญ่ ทองสุข
- กลุ่มกำปั่น – มีทรงผลเป็นทรงขอบขนาน หนามแหลมตรง มี 13 สายพันธุ์ เช่น หมอนทอง ปิ่นทอง กำปั่นเหลือง กำปั่นแดง
- กลุ่มทองย้อย – มีทรงผลรูปไข่ หนามนูนปลายแหลม มี 14 สายพันธุ์ เช่น ทองใหม่ นกหยิบ ทับทิม ทองย้อยฉัตร
- กลุ่มเบ็ดเตล็ด – เป็นกลุ่มที่มีสายพันธุ์เยอะที่สุดถึง 81 สายพันธุ์ ไม่สามารถบอกลักษณะได้ชัดเจน เพราะอาจมีบางจุดคล้ายคลึงกับ 5 สายพันธุ์ข้างต้น เช่น พวงมณี บางขุนนนท์ กระดุมทอง หลงลับแล หลินลับแล

ทุเรียน 9 สายพันธุ์ยอดนิยม มีอะไรบ้าง และมีเอกลักษณ์อย่างไร?
1. ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว – หายากแต่อร่อยเหลือเกิน
ทุเรียนพันธุ์ก้านยาวมีแหล่งปลูกหลักอยู่ในจังหวัดนนทบุรี มีลักษณะพิเศษคือก้านใหญ่และยาวกว่าพันธุ์อื่น ผลทรงกลม หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม หนามเล็กสั้นและถี่ เนื้อในสีเหลืองทอง นุ่มเนียน รสชาติหวานมัน กลิ่นหอม ปัจจุบันหากินได้ยากเพราะมีสวนปลูกน้อย ทำให้ราคาสูงมากถึงลูกละ 5,000-15,000 บาท
2. ทุเรียนพันธุ์หลงลับแลและหลินลับแล – หวานฉ่ำจากภูเขาสูง
ทุเรียนคู่นี้มีต้นกำเนิดมาจากอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ลักษณะผลเล็ก กลมรี หนักประมาณ 1-3 กิโลกรัม หนามโค้งแหลมคม สีของเนื้อหลงลับแลอ่อนกว่าหลินลับแล เนื้อในเหนียวเนียนละเอียด เม็ดเล็ก รสชาติหวานจัด มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ เนื่องจากต้องปลูกบนเขา การรดน้ำและขนส่งทำได้ค่อนข้างยาก ราคาจึงสูง ประมาณ 250-500 บาทต่อกิโลกรัม
3. ทุเรียนพันธุ์ป่าละอู – หอมหวานจากขุนเขาหัวหิน
เป็นทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่นำมาปลูกในป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลเป็นวงรี หนักประมาณ 2-5 กิโลกรัม หนามคม เนื้อหนาเนียนละเอียด สีเหลืองอ่อน มีกลิ่นอ่อน เม็ดลีบ รสชาติหวานมัน ราคาประมาณ 250-350 บาทต่อกิโลกรัม
4. ทุเรียนพันธุ์ภูเขาไฟ – รสชาติพิเศษจากดินภูเขาไฟ
มีต้นกำเนิดจากจังหวัดศรีสะเกษ เป็นสายพันธุ์เดียวที่มาจากภาคอีสาน ปลูกในบริเวณที่เป็นภูเขาไฟเก่า ทำให้ดินมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ผลขนาดกลาง หนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม เนื้อจะมีสีเหลืองอ่อน แห้ง ละเอียด ไม่ติดมือ กลิ่นหอมปานกลาง รสชาติหวานมัน ราคาประมาณ 150-250 บาทต่อกิโลกรัม
5. ทุเรียนพันธุ์พวงมณี – เนื้อเหลืองเข้มหวานจัดจากจันทบุรี
เป็นทุเรียนที่นิยมปลูกในจังหวัดจันทบุรี ลักษณะเด่นคือ เนื้อสีเหลืองเข้ม เนื้อเนียน รสชาติหวานจัด ราคาประมาณ 200-250 บาทต่อกิโลกรัม
6. ทุเรียนพันธุ์นกกระจิบ – เนื้อละเอียดเมล็ดลีบ
มีความโดดเด่นคือ ทรงผลสวย เปลือกผลบาง เนื้อสุกละเอียดเนียนเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ รสชาติเนื้อหวานมาก และมัน ค่อนข้างเนื้อเยอะ เมล็ดจะลีบ ทำให้ได้เนื้อมากกว่าพันธุ์อื่น
7. ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง – พันธุ์ยอดนิยมของคนทั่วไป
เป็นพันธุ์ยอดนิยม หาซื้อง่าย ราคาไม่สูง และกลิ่นหอมอ่อน ลักษณะผลใหญ่ หนักประมาณ 3-4 กิโลกรัม หนามแหลมตรง มีขนาดใหญ่-เล็กสลับกัน เนื้อในสีเหลืองนวล นุ่มละเอียด ไม่ติดมือ เม็ดเล็ก รสชาติไม่หวานมาก ราคาประมาณ 90-130 บาทต่อกิโลกรัม
8. ทุเรียนพันธุ์ชะนี – กลิ่นแรงแต่หวานจัด
อีกหนึ่งพันธุ์ยอดนิยม มีกลิ่นแรงเป็นเอกลักษณ์ ผลขนาดกลางถึงใหญ่ หนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม หนามใหญ่ สั้น และห่าง เนื้อในสีเหลืองเข้ม ละเอียด มีเสี้ยนเล็กน้อย รสชาติหวานจัด เมื่อสุกเนื้อจะเละ จึงนิยมนำไปแปรรูปเป็นอาหารหรือขนมหวานต่าง ๆ ราคาประมาณ 65-100 บาทต่อกิโลกรัม
9. ทุเรียนพันธุ์กระดุมทอง – ขนาดเล็กแต่รสชาติเยี่ยม
ลักษณะผลเล็ก หนักประมาณ 1 กิโลกรัม หนามนูนปลายแหลมและถี่ เนื้อสีเหลืองเข้ม เนียนละเอียด เม็ดใหญ่ เมื่อสุกจัดเนื้อจะเละ รสชาติหวาน ราคาประมาณ 70-80 บาทต่อกิโลกรัม

เคล็ดลับการเลือกทุเรียนอย่างไรให้ได้ผลสุกกำลังดี?
การเลือกทุเรียนให้ได้ความสุกกำลังดีเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มีวิธีสังเกตง่าย ๆ ดังนี้:
- ตรวจสอบปลิงทุเรียน – รอยต่อระหว่างขั้วและก้าน ทุเรียนที่แก่จัดปากปลิงจะบวม เห็นรอยชัดเจน ถ้าปากปลิงเริ่มแยก แสดงว่าเริ่มกินได้แล้ว
- เลือกทุเรียนที่มีก้านอยู่ – และขั้วกับปลิงอยู่ห่างกัน ถ้าก้านหลุดไปอาจเป็นทุเรียนที่สุกเกินไป
- สังเกตก้านทุเรียน – ควรมีสีเข้ม ขั้วแข็ง เมื่อจับแล้วรู้สึกสากมือคล้ายกระดาษทราย
- ตรวจสอบร่องหนาม – ทุเรียนแก่จัดร่องหนามจะห่างกัน เมื่อลองบีบดูจะรู้สึกว่าหนามมีความเด้งคล้ายสปริงเบา ๆ
- ดูปลายหนาม – ทุเรียนแก่จัดปลายหนามจะแห้งเป็นสีน้ำตาล หักง่าย
- ดูร่องพู – ควรเห็นร่องพูแยกชัดเจน
- สังเกตสีเปลือก – ต้องไม่เป็นสีเขียวสด ควรเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แห้ง และมีความมัน
- ลองเคาะดู – ถ้าทุเรียนแก่จัด เมื่อเคาะดูจะได้ยินเสียงโปร่ง เพราะเนื้อทุเรียนเริ่มร่อนออกจากเปลือกด้านในแล้ว
- ใช้วิธีดมกลิ่น – ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว ควรมีกลิ่นหอมแบบละมุน ไม่ฉุนแรง

ทุเรียนมีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพ?
ทุเรียนไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อย แต่ยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ได้แก่:
- ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย – เพราะมีเส้นใยสูง
- บำรุงสายตา – อุดมไปด้วยวิตามินเอ
- บำรุงสมอง – มีธาตุเหล็กและวิตามินบีสูง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ – มีวิตามินซี ช่วยให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง
- มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย – ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
- มีสรรพคุณสมานแผล – ยิ่งช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- แก้โรคผิวหนัง – ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่

ข้อควรระวังในการบริโภคทุเรียน
แม้ทุเรียนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจาก:
- ทุเรียนเป็นผลไม้ให้พลังงานสูง 100 กรัม ให้พลังงาน 130-200 กิโลแคลอรี การกินทุเรียนเพียง 2 เม็ด เท่ากับกินข้าว 2 ทัพพี
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยง เพราะทุเรียนมีน้ำตาลสูง
- ไม่ควรรับประทานทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการร้อนใน เจ็บคอ เสี่ยงต่อภาวะร่างกายขาดน้ำ
- การรับประทานทุเรียนอย่างปลอดภัย ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม หรือกินคู่กับผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เช่น มังคุด เพื่อดับความร้อน
ทุเรียนนับเป็นผลไม้ที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร ด้วยรสชาติหวานมัน กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ และคุณประโยชน์มากมาย การรู้จักเลือกทุเรียนและบริโภคอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณได้เพลิดเพลินกับราชาแห่งผลไม้นี้อย่างปลอดภัยและได้อรรถรสอย่างเต็มที่
#สาระ #ทุเรียนไทย #สายพันธุ์ทุเรียน #หมอนทอง #ชะนี #ก้านยาว #หลงลับแล #วิธีเลือกทุเรียน #ประโยชน์ทุเรียน