การก้าวเข้าสู่สังคม Carbon Net Zero จะเกิดขึ้นไม่ได้หากทุกฝ่ายในภาคธุรกิจและประชาชนไม่ร่วมมือกัน จะเห็นได้จากประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาให้ความสนใจและสนับสนุน รวมทั้งลงทุนในกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอน สำหรับในเมืองไทย บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ EEC Academy ได้ผนึกองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐ&เอกชน Thai ESCO สมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย ผลักดันให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีคาร์บอนเป็นศูนย์ ผ่านรูปแบบ “Climate Finance and Investment” ด้วยการจัด งานใหญ่แห่งปี The Nova Expo 2025 “นวัตกรรมสีเขียวเปลี่ยนโลก” งานรวมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่ออนาคตยั่งยืน ระหว่าง 12 – 14 มีนาคม 2568 นี้ ที่ BITEC บางนา

ดร.เกชา ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด (EEC Academy)ในฐานะผู้จัดงาน The NOVA Expo 2025 ร่วมถ่ายทอดความรู้ด้านนวัตกรรมสีเขียวที่จะมาช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้น ในหัวข้อ “Green Innovation Revolution” ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากถึง 30 – 50 ล้านตันต่อปี ซึ่งหากรวม Operational Carbon หรือการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากการดำเนินงาน ตัวเลขอาจจะสูงถึง 150 ล้านตันต่อปี ซึ่งหลายคนตระหนักถึงปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่เข้าขั้นรุนแรง ที่เกิดขึ้นและคิดในแบบเดียวกัน แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อยากทำ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ดังนั้นในวันนี้จึงจำเป็นที่สร้างการเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “ปฏิวัติ” โดยเริ่มตั้งแต่การติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้องนั่นคือ Design & Planning (การดีไซน์ แอนด์ แพลนนิ่ง) ด้วยการออกแบบและวางแผนกระบวนการ ทั้ง Green Construction Method and Material กระบวนการก่อสร้างที่เลือกใช้ เพื่อเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น, Green Innovation Technology การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้ได้ผลลัพธ์ด้านการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด, Green Operation Quality การก่อสร้างเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Green Innovation Energy พลังงานที่นำมาใช้ ดังนั้นการนำระบบ Cooling as a Service และ Future of Clean Air นวัตกรรมเพื่ออนาคตอากาศสะอาดมาติดตั้งในอาคารและคอนโดมิเนียมจะช่วยให้การใช้พลังงานลดลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมคือ Investment ไม่ใช่ Cost
สิ่งแรกที่สำคัญคือ “ทัศนคติ” ต่อการประหยัดพลังงานของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ยังมองว่าเป็น “Cost” ในการติดตั้งเทคโนโลยีและอุปกรณ์จะทำให้ต้องใช้เงินที่มากขึ้น ทำให้ไม่ตอบรับกับแนวคิดการนำนวัตกรรมด้านพลังงานมาใช้กับธุรกิจและโครงการมากนัก ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว นวัตกรรมที่ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการ “Investment” ที่ลงทุนในวันนี้ สามารถลดการใช้พลังงาน และช่วยโลก พร้อมกับประหยัดเงินที่ต้องจ่ายไปกับค่าพลังงานในอนาคตด้วย เช่น ลงทุนติดตั้งโซลาเซลส์ ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แต่ทำให้ประหยัดค่าไฟ และเกิดความคุ้มค่าจากการลงทุนในระยะยาว 5-7 ปี
“ก่อนปี 2000 ถือว่าเป็นยุคมืด เวลาไปคุยกับสถาปนิกเรื่องการประหยัดงาน การทำระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่มีใครสนใจ ทำเลย สถาปนิกส่วนใหญ่สนใจเรื่องไอคอนิก การสร้างอัตลักษณ์ให้กับอาคารมากกว่าคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้งกระจกรอบอาคาร เกิดแสงสะท้อนของกระจกและก่อปัญหาให้กับสภาพแวดล้อม จนมาช่วงหลังปี 2022 ค่อยเริ่มเห็นแสงสว่าง คนเริ่มให้ความสำคัญเรื่องอาคารประหยัดพลังงาน อาคารสีเขียว และต่อเนื่องมาถึงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่กระแสด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มบูม คนเริ่มพูดถึงคาร์บอนกันมากขึ้น” ดร.เกชา กล่าว
ขณะเดียวกัน ดร.เกชา ชี้ให้เห็นว่า ภาคธุรกิจต้องยอมรับว่าวันนี้เป็นโลกใหม่จริง ๆ ต้องเริ่มทำความเข้าใจ และเร่งปรับตัว ก่อนจะเป็นทฤษฎีม้าตาย โดยม้าตัวหนึ่งที่เคยเก่งมาก แต่วันหนึ่งตายลงไป คนจะโฟกัสแค่เพียงว่าทำอย่างไรจะให้ม้าตัวนั้นฟื้น แต่ไม่ยอมก้าวข้าม และยอมรับ เช่นเดียวกับหลายธุรกิจที่ไม่ปรับตัวจนถึงวันที่ต้องปิดฉากลงไป รวมถึงในกรณีของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีส่วนในการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างน้อย 37% อาจได้รับผลกระทบ และมีโอกาสทางธุรกิจน้อยกว่าคู่แข่งที่ปรับตัวได้เร็วกว่า ดังนั้นผู้ประกอบการควรปรับตัวและพาธุรกิจไปสู่ Go Green ลดการปลดปล่อย คาร์บอนไดออกไซต์ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ตามแนวทาง ESG (Environment, Social และ Governance) เช่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษจากสถาบันการเงินสำหรับธุรกิจสีเขียว เป็นต้น

ผศ.ดร.สุกุลพัฒน์ คุ้มไพศาล สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คณะสถาปัตยกรรมสาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ Real Estate and Urban Development , The Future of Green Real Estate Embracing Innovation for Sustainable Growth โดยชี้ให้เห็นถึง“ความท้าทาย” และ “อนาคต” ของ อสังหาริมทรัพย์สีเขียว (Green Real Estate) ที่เกิดขึ้นว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น และสร้างความคุ้มค่าทางธุรกิจ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสู่อสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน และการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นความท้าทายที่ธุรกิจอสังหาฯกำลังเผชิญ ซึ่งแบ่งเป็น 3 เรื่องหลักคือ ขาดการตระหนักรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม,ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น และอุปสรรคด้านกฎระเบียบ
โดยที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์ในธุรกิจอสังหาฯส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยยังมีแนวคิดหลักในการจัดหา Location ที่ดีที่สุด ก่อสร้างแล้วต้องได้ผลตอบรับที่ดี โครงการขาดทุนน้อยที่สุด ส่งผลให้ขาดมุมมองว่าทำเลนั้นหากมีการก่อสร้างอาจส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม สวนสาธารณะ และชุมชนโดยรอบ ถึงระดับที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมได้ เช่น เมื่อก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จและเปิดใช้งานจะปล่อยควันสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแค่ไหน หรือระหว่างการก่อสร้างจะมีการปล่อยน้ำเสียจากโครงการออกไปเท่าไหร่
ดังนั้นเมื่อกลุ่มผู้บริโภคเริ่มรับรู้และตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ ดีเวลลอปเปอร์เริ่มหันมาให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเริ่มทวนกระแสผู้บริโภคไม่ได้ จึงเริ่มมีการปรับตัว ทั้งการนำแนวคิดอาคารสีเขียว การนำพลังงานไฮโดรเจนมาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดพลังงาน การออกแบบโครงการตั้งแต่แรกเริ่มให้เป็น Passive Design เช่น การนำต้นไม้กันฝุ่นมาปลูก การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ และเทคโนโลยีที่ช่วย ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5
“สำหรับอนาคตของอสังหาฯที่ยั่งยืนนั้น ยังเป็นประเด็นด้านความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มตระหนักเกี่ยวกับอสังหาฯเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งกำหนดนโยบายและข้อบังคับที่จูงใจออกมาอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของความต้องการจากผู้บริโภคต่ออสังหาฯที่ยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการสร้างความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างโซลูชันที่ปรับขนาดได้และมีความคุ้มทุน” ผศ.ดร.สุกุลพัฒน์ กล่าวว่า
โดยจะได้เห็นการพัฒนาอสังหาฯที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Homes) และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสีเขียว หรือ Green Technology รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของโปรแกรมการรับรองด้านกรีน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอสังหาฯสีเขียวได้ง่ายและราคาไม่แพง
ดังนั้นหากดีเวลลอปเปอร์ไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจอาจจะเจอแรงกดดันจากประชาคมโลก โดยสิ่งที่ทำได้ทันที เริ่มจากการออกแบบโดยใช้วัสดุที่ดี ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED (Leadership in Energy and Environmental Design: LEED) และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า โดยอาคารที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมจะมีค่าเช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ขณะที่ต้นทุนที่ใช้เพื่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มแค่เพียง 5% เท่านั้น

เอสซีจี แนะเอกชน ภาคก่อสร้าง และผู้ผลิต ร่วมมือ แบ่งปันสู่เป้าหมาย Net Zero
นายวิชัย รายรัตน์ ผู้อำนวยการพัฒนาอย่างยั่งยืน SCG และ เลขาธิการเครือข่ายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง (CECI) กล่าวถึงแนวทางสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอุตสาหกกรรมก่อสร้าง (Net Zero C Construction) ว่า การที่ประเทศไทยจะไปสู่ Net Zero ของการก่อสร้างในอนาคตได้นั้น จะต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือที่มาจากความตั้งใจของแต่ละบริษัท ที่มีเป้าหมายจะไปสู่การลดคาร์บอนของแต่ละบริษัท ที่ต้องมีการเกื้อหนุนและทำงานร่วมกัน พร้อมแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้นทุน ถ้าหากไม่สามารถเพิ่มปริมาณการจัดการได้ ก็จะมีผลต่อต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนหลัก และมีราคาค่อนข้างแพง
ดังนั้นหากมีตลาดรองรับ มีความต้องการ(ดีมานด์) และมีการดำเนินการร่วมกัน จะทำให้ทุกคนสามารถเดินหน้าต่อไปสู่กระบวนการแลกเปลี่ยน การทำงาน จนทำให้ต้นทุนลดลง ราคาปรับมาสู่ความเหมาะสมเทียบกับที่เป็นอยู่เดิม ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีเป้าหมายไปถึง Net Zero อยู่แล้ว แต่หากมีการตั้งเป้าหมายแต่ไม่สามารถขายได้ ก็เดินต่อไปไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความต้องการที่มาจากเจ้าของอาคาร ที่ต้องมีความตั้งใจในการพัฒนาอาคารคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาอาคารที่มีคาร์บอนต่ำ เช่น ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการจัดการ ที่ไม่เพิ่มต้นทุนให้กับเจ้าของอาคาร หรืออาจออกมาตรการบังคับการจะนำวัสดุต่างๆ ไปทิ้ง ต้องนำกลับมาจัดการใหม่ หรืออาจจะไปเพิ่มการวัดคาร์บอน ที่จะมีผลต่อภาษีที่จะต้องรับผิดชอบ เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกคนเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น และเป็นผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทำให้ต่างประเทศ หรือบริษัทข้ามชาติ ให้เครดิตในการนำเงินเข้ามาลงทุน ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากมีการบริหารจัดการเรื่องการลดคาร์บอน อย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน หากประเทศไทยไม่ได้ส่งเสริมเรื่องพลังงานสะอาด ที่จะช่วยส่งเสริมลดคาร์บอนแล้ว บริษัทต่างชาติ ก็อาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน เช่น ผู้ผลิตจีนได้เข้ามาตั้งฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ในประเทศไทย และขายในไทย เพราะมีระบบไฟฟ้ารองรับ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องซัพพอร์ตวัสดุ หรือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายพลังงานสะอาด เช่น แบตเตอรี่ พลังงานไฟฟ้าสะอาด และโซล่าร์ เพื่อป้อนให้กับโรงงานต่างๆ ในการผลิตสินค้า ซึ่งอาจจะต้องเป็นนโยบายระยะยาว หรือเป็นวาระหลักของประเทศไทย
ส่วนแนวทางในการที่จะทำให้ภาคเอกชนลดผลกระทบเรื่องการปล่อยคาร์บอนลงได้ หรือมีการปล่อยปริมาณคาร์บอน ออกสู่อากาศน้อยที่สุดนั้น ต้องมองเรื่องการใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ การหาแหล่งพลังงานสะอาดเข้ามาเติม ทั้งภายในอาคารและจากภายนอก เช่น การใช้พลังงานจากโซล่าร์เซลเพื่อช่วยลดคาร์บอนได้ เพราะใน 1 อาคารจะมีส่วนที่ทำให้เกิดคาร์บอนต่างกัน เช่น Operation Carbon ที่เกิดจากการใช้พลังงานภายในอาคารมีสัดส่วนประมาณ 28% และอีก 11% มาจาก Embodied Carbon (คาร์บอนแฝงที่วัดค่าคาร์บอน ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้นๆ) โดยการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ยกตัวอย่าง สินค้ากระเบื้องหลังคาที่เชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คาร์บอนจะลดลงน้อย เพราะเกิดจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
ขณะเดียวกันการนำระบบเทคโนโลยีและระบบดิจิตอลเข้ามาใช้ในอาคาร จะช่วยลดประหยัดพลังงานได้ดี สามารถบริหารจัดการตามความหนาแน่นของคนในแต่ละอาคาร และมีส่วนสนับสนุนเรื่องอาคารประหยัดพลังงาน เช่น โครงการ One Bangkok ที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารอาคารทั้งหมด
ดังนั้นกระบวนการที่จะเร่งให้เกิดการตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ภาษี และการแข่งขัน โดยในอนาคตอาจจะเห็นสินค้าที่บ่งชี้เรื่องคาร์บอนออกมาให้กับผู้บริโภคหรือผู้ใช้มากขึ้น
งาน “The NOVA Expo 2025 นวัตกรรมสีเขียวเปลี่ยนโลก” งานแรกและงานเดียวในไทยที่พร้อมให้ทั้งองค์ความรู้และแนวทางลงมือปฏิบัติ เพื่อสังคมโลกสีเขียว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 มีนาคม 2568 ณ ฮอลล์ 103 – 104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ