–
BAM เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 รุกขยายธุรกิจ การดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างผลเรียกเก็บเงินเข้าเป้า 2 หมื่นล้านบาท พร้อมเร่งขยายฐานสินทรัพย์เพิ่มอีก 7 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจBAM เติบโตอย่างยั่งยืน ชี้ที่ผ่านมาสามารถช่วยลูกหนี้จนได้ข้อยุติจำนวน 154.178 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479.650 ล้านบาท
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) กล่าวถึงแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงานปี 2567 ว่า BAM ได้กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างผลเรียกเก็บให้เป็นไปตามเป้าหมายปีนี้ ที่ 20,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายระยะกลางในปี 2569 อยู่ที่ 23,300 ล้านบาท ขณะที่การขยายฐานสินทรัพย์มีเป้าหมายลงทุนซื้อคิดเป็นเงินต้นคงค้าง 70,000 ล้านบาท เพื่อรักษาขนาดสินทรัพย์และโอกาสทางธุรกิจของ BAM โดยปัจจุบัน BAM มี NPLs อยู่ที่ 473,036 ล้านบาท และมี NPAs อยู่ที่ 69,807 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน BAM สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้ข้อยุติจากการแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวน 154,187 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479,650 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์ไปแล้ว จำนวน 51,420 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 121,378 ล้านบาท
ขยายธุรกิจจัดกลุ่มลูกหนี้ –กิจการค้าร่วม
สำหรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่วางไว้ ประกอบไปด้วย การขยายธุรกิจ (Business Expansion) โดยใช้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Clean Loan ด้วยการจัดกลุ่มลูกหนี้ Clean Loan ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่บริหารเอง กับกลุ่มที่ให้ทนายนอก/Collector บริหารจัดการ เพื่อลดเวลาในการติดตามหนี้ รวมทั้งการดำเนินโครงการกิจการค้าร่วม (Consortium) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 2-3 ราย โดยในเบื้องต้น BAM จะคัดเลือกทรัพย์ประเภทโครงการ เพื่อกำหนดมาตรฐานเงื่อนไข รวมทั้งการกำหนดหน่วยงานขึ้นมาดูแลโครงการดังกล่าว
ขณะที่การดำเนินธุรกิจใหม่ (New Business) วางแนวทางการร่วมทุนกับสถาบันการเงินซึ่ง BAM จะได้ค่าบริหารจัดการตามสัดส่วนที่มีข้อสรุปร่วมกัน การสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ด้วยการพัฒนาระบบด้านการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานดังกล่าว (แผนระยะกลาง) การพัฒนา Pricing Model ด้วยการลงทุนแบบ Selective เพื่อรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ในราคาที่เหมาะสมและยังคงบทบาทหลักในการเป็นแก้มลิงเพื่อรองรับ NPL/NPA เพื่อช่วยพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยแผนการลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการทางคดี กระบวนการประเมินราคาทรัพย์ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความยืดหยุ่น ตลอดจนการปรับปรุงระเบียบ/คำสั่งต่างๆ เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
นอกจากนี้ BAM ยังได้เตรียมความพร้อมในการสร้างบุคลากรด้วยการพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับอนาคต Capability Development ด้วยการจัดทำแผนพัฒนา Successor & Talent และพัฒนา Core Capability อย่างไรก็ตาม BAM ยังตระหนักถึงการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ซึ่ง BAM ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” 2 ปีซ้อน และมีผลการประเมินที่ระดับ “AA” สะท้อนให้เห็นว่า BAM ได้ยกระดับการดำเนินงานและการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG รวมทั้ง BAM ยังมีการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งพร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับ ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล
นายพงศธร มณีพิมพ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายพัฒนาสินทรัพย์ภูมิภาค BAM กล่าวว่า BAM มีสำนักงานสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเครือข่ายสำนักงานภูมิภาคช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยพนักงานในสำนักงานสาขาส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ทำให้มีความเข้าใจสภาวะตลาดในพื้นที่นั้นๆ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ BAM ในการเจาะกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดและยังทำให้สามารถประเมินราคาของทรัพย์สินในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น
อีกทั้งมีความสามารถที่จะปรับตัวตามสภาวะตลาดตามความเหมาะสม โดยอาจเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งสำนักงานสาขาและเปลี่ยนกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการโยกย้ายพนักงานที่มีความรู้ความสามารถเพื่อปฏิบัติงานตามพื้นที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักงานสาขาเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ BAM ให้ประสบความสำเร็จ ช่วยให้สามารถติดตามและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับโครงสร้างหนี้บนออนไลน์
นายธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายสารสนเทศและดิจิทัล กล่าวว่า ปัจจุบัน BAM ได้เร่งสร้างระบบการให้บริการลูกค้าบน Online Platform โดยมีระบบการชำระเงิน และ E-TDR (การปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์) ด้วยการจัดทำ BAM Mobile Application ระบบจองทรัพย์/ชำระเงิน และระบบตรวจสอบภาระหนี้/ชำระหนี้ รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูล DATA Management Dashboard ด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง (DATA Center) เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลสำคัญขององค์กรและรายงานต่างๆ จากแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการสร้างคลังข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อกลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization) และเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจสำหรับการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันยังได้นำระบบ Lead Management ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าและกลุ่มลูกหนี้ของ BAM ที่ต้องการทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อนเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้ติดต่อหรือลงทะเบียนเข้ามา เพื่อสร้างโอกาสในการปิดการขาย หรือโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้เพิ่มขึ้น พร้อมกับเตรียมนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ลูกหนี้ ทำให้สามารถจำแนกลูกหนี้กลุ่มต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป
ความคืบหน้าของการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรสถาบันการเงิน ซึ่งรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรจะเป็นการถือหุ้น 50:50 ซึ่งจะทำให้การบริหารไม่ถูกครอบงำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และสามารถร่วมกันลงทุนได้ โดยไม่กระทบกับงบการเงินของ BAM และพันธมิตร รวมถึงการพิจารณานำทรัพย์เขามาเสนอขายบริษัทร่วมทุนอย่างรอบคอบ ซึ่งเกิดประโยชน์จากบริษัทอย่างไร ประกอบยังคงรอหลักเกณฑ์การดำเนินงานในกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว หากมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนการร่วมทุนกับสถาบันการเงิน
ขณะที่งบลงทุนการซี้อหนี้ NPA และ NPLs ในปี 67 วางไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยมองว่าในปี 67 ยังมีโอกาสเข้าซื้อหนี้จากสถาบันการเงินได้ต่อเนื่อง เพราะสถาบันการเงินต่างๆยังมีความต้องการในการบริหารจัดการหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าสถาบันการเงินยังมีหนี้ที่ยังไม่ถูกจัดชั้นราว 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสถาบันการเงินจะมีการพิจารณาทยอยขายหนี้ออกมาต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา BAM ได้เข้าไปยื่นประมูลหนี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท