
ในบ้านของเรา เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานหนักและถูกละเลยมากที่สุดคือ “เครื่องปรับอากาศ” และ “พัดลมดูดอากาศ” เพราะเราใช้งานทุกวัน แต่กลับไม่ค่อยนึกถึงการดูแลจนกว่าจะ “เสีย” หรือ “มีกลิ่นแปลก ๆ”
ทำไมการล้างแอร์จึงสำคัญ?
แอร์ที่ไม่ได้ล้างนาน จะมีฝุ่นสะสมที่แผงคอยล์และแผ่นกรอง ทำให้ระบบทำความเย็นทำงานหนักขึ้น เย็นช้าลง และที่สำคัญคือ “กินไฟมากขึ้น” แถมยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่ปลิวมากับลมเย็นโดยที่เรามองไม่เห็น
ล้างแอร์บ่อยแค่ไหนดี?
- เปิดแอร์ทุกวัน (กลางคืน): ล้างทุก 6 เดือน
- เปิดแอร์ทั้งวันทุกวัน: ล้างทุก 3-4 เดือน
- เปิดนาน ๆ ครั้ง: ปีละครั้งพอได้
แต่ถ้ามีเด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ หรือคนเป็นภูมิแพ้ในบ้าน ควรล้างถี่ขึ้น
วิธีสังเกตว่าแอร์ควรล้างแล้ว
- แอร์เย็นช้ากว่าปกติ
- มีกลิ่นอับหรือกลิ่นฝุ่น
- มีน้ำหยดจากตัวเครื่อง
- เสียงเครื่องดังผิดปกติ
แล้วพัดลมดูดอากาศล่ะ?
พัดลมดูดอากาศมักอยู่ในห้องน้ำ ห้องครัว ซึ่งมีทั้ง “ความชื้น” และ “คราบมัน” หากไม่ดูแลจะอุดตันเร็ว มีกลิ่นอับ และดูดอากาศไม่ได้จริง
วิธีดูแลพัดลมดูดอากาศ
- ถอดหน้ากากออกมาล้างคราบมันและฝุ่น
- เช็ดใบพัดด้วยแปรงหรือผ้าแห้ง
- ควรปิดไฟก่อนทุกครั้ง
- ทำความสะอาดอย่างน้อยทุก 3 เดือน
หากพัดลมดูดอากาศในครัวมีคราบเหนียว ควรแช่น้ำยาล้างจานก่อนเช็ด และควรใช้พัดลมแบบมีแผ่นกรอง เพื่อถอดล้างได้ง่าย
สรุป
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูเหมือน “อยู่เฉย ๆ” กลับเป็นจุดที่ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน
การล้างแอร์ และดูแลพัดลมดูดอากาศ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาด แต่คือเรื่องของสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
#Homeday #SmartLivingTips #ล้างแอร์ #พัดลมดูดอากาศ #ดูแลบ้าน