ในโลกของการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ การสืบทอดธุรกิจหรือองค์กรใหญ่ที่เติบโตมาเป็นระยะเวลานาน เผชิญความท้าทายของการส่งต่อไม่ใช่เพียงธุรกิจหรือกิจการ แต่ยังรวมถึงมรดกทางความคิด วิสัยทัศน์ และคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น การส่งต่อที่ประสบความสำเร็จคือผลลัพธ์ของกระบวนการและการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อวางรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน นี่คือประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยในเวทีเสวนาด้าน Wealth Management ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสาวนาลิวัน คุวานันท์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โค้วยู่ฮะ อีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมแบ่งปันมุมมอง

ม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมผ่านโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง เช่น มูลนิธิฯ ได้เปิด 2 ธุรกิจใหม่เพื่อรับกับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ การเป็นผู้นำเสนอ Nature-based Solutions ที่ประมวลมาจากความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจ (Sustainable Advisory Services)
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการพัฒนาต้องเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ไม่เฉพาะแต่บุคลากรของมูลนิธิฯ การสื่อสารอย่างเป็นระบบและถี่ถ้วนจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะกับชุมชนที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ม.ล. ดิศปนัดดา ได้ยกตัวอย่างบิดา หรือม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล อดีตเลขาธิการของมูลนิธิฯ ที่ใช้วิธีการสื่อสารอย่างไม่ข้ามขั้นตอน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ตลอดจนแนวทาง ‘การพาทำ’ แทนการสั่งงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง “พ่อสอนเสมอว่าการทำงานต้องเป็นขั้นเป็นตอน ต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เมื่อมีการสื่อสารอย่างมีกระบวนการที่ดี ก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและสามารถส่งต่อวิสัยทัศน์ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ในด้านการสร้างความต่อเนื่องและเป็นสถาบัน (Institutionalized) ม.ล. ดิศปนัดดา ได้กล่าวถึงการทำให้องค์กรมีการกำกับดูแลและบริหารจัดการที่ดี แยกหมวดธุรกิจออกจากกันอย่างชัดเจน และหาคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดำเนินธุรกิจ “คนๆ เดียวไม่สามารถเก่งได้ในทุกมิติ และหากเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำ คนที่เหลือต้องพาองค์กรต่อไปได้ หากไม่มีเรา องค์กรต้องไม่เสียหาย ความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือของสถาบันต้องไม่เสียหาย พ่อสอนเสมอว่าเราต้องทำงานให้เราตกงานได้ คือเราไม่อยู่ก็ไม่กระทบถึงองค์กร”
ด้านนางสาวนาลิวัน คุวานันท์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โค้วยู่ฮะ อีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวถึงบทบาทของเธอในฐานะผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัวที่มีประวัติยาวนาน โดยเน้นถึงความสำคัญของการสร้าง “ความรัก” ในสิ่งที่ทำและการทำให้ธุรกิจมี Purpose หรือความหมายมากกว่าการแสวงหาผลกำไร
“เราต้องคอยเตือนตัวเองว่า ธุรกิจของเราไม่ใช่แค่ธุรกิจขายรถและซ่อมรถ แต่มันคือธุรกิจที่ช่วยสร้างอาชีพให้กับคน สร้างความฝันให้กับครอบครัว รถของเรามีความหมายมีคุณค่ากับคนหนึ่งคนมากกว่าแค่ซื้อมาขายไป มีความหมายต่อเศรษฐกิจประเทศ และสิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารธุรกิจครอบครัวคือการหาสมดุลระหว่างสิ่งที่เราต้องการทำกับสิ่งที่องค์กรต้องการ และต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวมากกว่าความสำเร็จระยะสั้น”
นางสาวนาลิวันยังสร้างคุณค่าและความรักในสิ่งที่ทำผ่านการทำงานส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานด้านมูลนิธิของครอบครัวที่เน้นการสร้างศักยภาพให้กับคนในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงสร้างชุมชนบนโซเชียลมีเดียที่ถ่ายทอดให้คนเห็นถึงวิถีชีวิตของการเป็น Trucker หรือ “นักบรรทุก” ในรูปแบบใหม่ๆ และให้คนในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองกัน
“เราสร้าง Trucker Culture ซึ่งเป็นช่องทางบนโซเชียลมีเดียขึ้นมา เพื่อให้คนมาแชร์เรื่องราวประสบการณ์ โดยคำว่า Trucker ไม่ได้จำกัดความว่าเป็นอาชีพคนขับรถบรรทุก แต่เป็นคนที่บรรทุกเรื่องราวความฝัน ช่วยเปิดโอกาสให้ได้เชื่อมโยงกับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียได้กว้างขึ้น สร้างความสุขในการทำงาน นอกจากนี้ เรายังมีมูลนิธิเพื่อดูแลพนักงาน โดยวัตถุประสงค์คืออยากยกระดับอาชีพช่างยนต์ในภาคอีสาน ให้สามารถเป็นผู้ประกอบการได้ เราเน้นเรื่องการสร้างคน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจเรา โดยเราทำทั้งมูลนิธิ โรงเรียน และศูนย์อบรมบ่มเพาะ”
ด้านการสืบทอดธุรกิจ นางสาวนาลิวัน กล่าวว่า “สองหลักสำคัญคือ หนึ่ง การสื่อสารถึงทิศทางและเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน และสอง คนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าการทำงาน ดังนั้นถ้าจะให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องหาว่าสิ่งที่คุณรักคืออะไร และใส่มันเข้าไปในธุรกิจ”
ท้ายที่สุด การสืบทอดธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เพียงการส่งต่อทรัพย์สิน แต่คือศิลปะแห่งการผสมผสานความมั่งคั่ง ความรู้ และคุณค่าทางสังคม เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกยุคสมัย