แก้วิกฤตยอดดอย – ต้นแบบพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง มูลค่าตลาดกว่า 30,000 ลบ.
เติบโตอย่างทรงพลัง ปักหมุดที่ปอดของเอเชีย อ.กัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่
- 3 พันธมิตรภาคเอกชนและภาคประชาสังคมไทย นำโดยแสนสิริ – ไร่แสนชัย – บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม ‘ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร’ ที่ อ.กัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่
- มุ่งสร้างแรงกระเพื่อมยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน หวังผลักดันเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีกาแฟพิเศษไทย (Specialty Coffee) เป็นแกนหลัก ร่วมลดปัญหาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ไฟป่า ฝุ่นควัน น้ำป่าไหลหลาก ไปจนถึงการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก สร้างการคืนถิ่น เกิดเป็นกลไกพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างรายได้ด้วยตนเองจากการดำเนินธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินบริจาคแต่เพียงอย่างเดียว พร้อมนำกำไรที่ได้กลับคืนสู่ชุมชน
- ตั้งเป้าการดำเนินงาน 5 ปี (2569–2573) เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับผู้คนที่สนใจเกี่ยวกับกาแฟ มุ่งผลักดันองค์ความรู้เกี่ยวกับกาแฟให้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือต่อไป

“เมล็ดเล็กๆ” แห่งความหวัง สร้างแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจฐานราก
สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในแกนหลักการทำงานด้าน ESG ของแสนสิริมากว่า 40 ปี คือการดูแล 4 เสาหลัก ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และสังคม ตอกย้ำแนวคิดมุ่งสร้างทุกวันให้ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อสังคมที่ดี ชุมชนแข็งแรง ซึ่งแต่ละโปรเจกต์ที่ทำ จะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
“ต่อมาแสนสิริได้มีโอกาสปรึกษากับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับคำแนะนำถึงแนวทางการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนต่อยอดการสร้าง Social Enterprise เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ จัดตั้งหน่วยงาน “วิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่แสวงหากำไร” ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกิจกรรมหรือโปรเจกต์เพื่อสังคมให้มีความต่อเนื่อง สร้างรายได้ด้วยตนเองจากการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพาเงินบริจาคแต่เพียงอย่างเดียว และนำกำไรที่ได้จะกลับคืนสู่ชุมชนทั้งหมด จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” เป็นแนวทางที่เราจะใช้พืชเศรษฐกิจอย่างกาแฟมาเป็นตัวเชื่อมโยงให้เกษตรกร และทุกภาคส่วนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้หันมายกระดับเศรษฐกิจฐานรากร่วมกัน โดยหวังว่าจะเป็นอีกตัวอย่างการสร้างกลไกเพื่อช่วยสร้าง
ความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก กับชุมชนและสังคม ทั้งแบบท้องถิ่น และระดับประเทศแบบ ตลอดจนคาดหวังให้เกิดการผลักดันการทำงานอย่างจริงจัง และเติบโตด้วยตนเอง สร้างชุมชนให้แข็งแกร่ง และเป็นต้นแบบการทำงานของพืชเศรษฐกิจไทย”
จากข้อมูลพบว่าการปลูกกาแฟเป็นส่วนสำคัญของการอนุรักษ์ป่าในภาคเหนือมากว่า 3 ทศวรรษ สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน แก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน ด้วยการสร้างอาชีพและรายได้มั่นคงในชุมชน ลดการทำลายป่า ด้วยระบบการเกษตรที่เน้นอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิต จากการเพิ่มมูลค่ากาแฟ 3-5 เท่าตัว (จาก 70 บาท เป็น 210-350 บาท/กก.) สร้างต้นแบบพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง
ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร จุดประกายอุตสาหกรรมกาแฟไทย
แสนสิริ วางแผนธุรกิจเพื่อสังคมที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ร่วมกับ ไร่แสนชัย – บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ และที่ปรึกษาของสมาคมกาแฟพิเศษ โดยเราตั้งใจที่จะเปิดตัว “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” พร้อมไร่กาแฟต้นแบบบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ขึ้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่รวบรวมทุกองค์ความรู้ตั้งแต่ “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” ไว้ในที่เดียว ทำงานร่วมกับเกษตรกรได้อย่างใกล้ชิด ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อทดลอง พัฒนา และเพาะสายพันธุ์กาแฟพิเศษ
“อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนคือ ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในศูนย์การเรียนรู้ฯ นี้ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ รวมถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟ การเก็บเกี่ยว กระบวนการแปรรูปผลผลิตเพิ่มขึ้นนำความรู้มาพัฒนาการปลูกกาแฟของตัวเอง และเกิดการรวมกลุ่มกันขึ้น เพื่อพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมีเป้าหมาย สร้าง “แรงดึงดูดกลับบ้าน” เมื่อกาแฟพิเศษมีราคาดี มีตลาดที่มั่นคง ชุมชนก็จะมี รายได้ที่ยั่งยืนและสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น แม่เหล็ก ดึงดูดให้คนหนุ่มสาวที่เคยต้องจำใจจากบ้านไปเป็นแรงงานในพื้นที่ต่างๆ สามารถ “คืนถิ่น” กลับมาสานต่ออาชีพเกษตรกรรมด้วยความภาคภูมิใจ”



ศูนย์การเรียนรู้ฯ ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี (2569–2572) จะบรรลุเป้าหมายการเป็น ‘ศูนย์ต้นแบบ’ หรือSustainable Model ที่มีระบบถ่ายทอดองค์ความรู้ ตั้งแต่การปลูก, การแปรรูป (ผ่านนวัตกรรมอย่าง Biochar และการตรวจสายพันธุ์), การสร้างผลิตภัณฑ์ร่วมกับชุมชน, การวางระบบตลาดกลางที่ยุติธรรม จนถึงการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และสามารถขยายผลและผลักดันองค์ความรู้ด้านกาแฟให้เป็นหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ สร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษในภาคเหนือและประเทศในวงกว้าง ยกระดับกาแฟพิเศษไทยสู่มาตรฐานระดับสากล จุดประกายและเป็นต้นแบบการทำพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่ภาคเกษตรอื่นสามารถปรับใช้ได้ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน จากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้น การคืนถิ่นของแรงงาน และการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และก้าวไปสู่ระดับเอเชียและระดับโลก โดยใช้คุณภาพและความยั่งยืนเป็นจุดขาย


เสียงจาก Ecosystem สู่ Specialty Coffee ไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ต้นน้ำ: ความรู้และการปลูกที่มีคุณภาพ
แสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate เกษตรกรต้นแบบ อ.กัลยาณิวัฒนา เปิดเผยว่า “กาแฟไทยไม่ได้แค่ดีขึ้นในเชิงเทคนิค แต่ดีขึ้นในมิติของวัฒนธรรม ความเข้าใจ และความเกื้อกูล เราเห็นชุมชนที่แข็งแรงเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่ใครคนหนึ่งล้ำหน้า แต่อยู่ในจังหวะที่เกื้อหนุนกัน และกาแฟยังเป็นพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยปกป้องคุณภาพดิน แหล่งน้ำ และระบบนิเวศโดยรอบ โดยเฉพาะ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปอดของเอเชีย การปลูกกาแฟยังสอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น เป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ที่ไปศึกษาหรือทำงานในเมืองกลับมายังบ้านและครอบครัว เรามองว่าการปลูกกาแฟคุณภาพสูงด้วย Eco Farming ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้ระบบปลูกใต้ร่มไม้ในป่า ซึ่งกาแฟอาราบิก้าต้องการเงาของต้นไม้บนที่สูง ช่วยป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งการก่อตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้ เป็นการลงทุนในคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะนี่คือการสร้างโมเดลที่สามารถ เยียวยาสังคม และ ฟื้นคืนผืนป่า ได้อย่างยั่งยืน
กลางน้ำ: การเพิ่มคุณค่าและควบคุมคุณภาพ
บริรักษ์ อภิขันติกุล ที่ปรึกษาโครงการศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทย กล่าวว่า เราอยากให้เกษตรกรไทยเข้าใจวิธีการผลิต และการต่อยอดไปสู่กาแฟพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่ กระบวนการคัดเลือกเมล็ด การตากกาแฟ และการจัดการของเสีย เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กาแฟธรรมดากลายเป็น Specialty ที่มีคะแนน 85+ และราคาสูงขึ้น 3-5 เท่า ซึ่งเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และเครื่องมือในการควบคุมคุณภาพ เรามั่นใจว่าโปรเจ็กต์ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรนี้ จะเป็นการเซ็ตมาตรฐานการทำงานของเราให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้เกษรตกร ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความแข็งแกร่งกับอาชีพ

ปลายน้ำ: การสร้างมูลค่าเพิ่ม
อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หนี่งในผู้ก่อตั้งบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวที่บ้านมีไร่กาแฟ และทำโรงคั่วเอง จนกระทั่งมาร่วมกับเพื่อนๆ ทำร้านบีนส์ เราเชื่อว่ากาแฟที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่ยังเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลาดโลกยอมรับคุณภาพกาแฟไทย แต่เราต้องช่วยกันสร้างระบบให้เกษตรกรเข้าถึงมาตรฐานนั้นได้ กระบวนการ (Process) ที่ได้คุณภาพ จะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรผ่านการยกระดับคุณภาพและการสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรใหม่ ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเรียนรู้กระบวนการผลิตกาแฟตั้งแต่ต้นจนจบในที่เดียว
“การร่วมมือกันทำงานครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งยังเป็นการใช้ข้อได้เปรียบของไทยที่มีห่วงโซ่การผลิตครบวงจร ตั้งแต่ยอดดอยจนถึงร้านกาแฟต่างๆ ที่เติบโตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และคาดว่าศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรแห่งนี้จะเป็น Sustainable Model ในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์–สินค้า ที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม เป็นแหล่งรวบรวมสายพันธุ์กาแฟเพื่อศึกษา ทดลอง และกระจายพันธุ์ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมกาแฟไทยกับนานาชาติ” สมัชชา กล่าวสรุป
#แสนสิริศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร #SansiriNoOneLeftBehind #แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร













