กระชายถือเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการแพทย์แผนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส ราคากระชายได้เพิ่มสูงขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักร้อยบาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทำให้เกษตรกรหลายรายหันมาสนใจการปลูกกระชายเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือก การปลูกกระชายจากเหง้านั้นมีข้อดีหลายประการ ทั้งในด้านการลงทุนที่ไม่สูงมาก การดูแลที่ไม่ซับซ้อน และสามารถปลูกได้ทั้งในแปลงใหญ่และในกระถางสำหรับครัวเรือน นอกจากนี้กระชายยังมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ตั้งแต่การขับลม บำรุงร่างกาย ไปจนถึงการมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในหลอดทดลอง

ลักษณะและคุณค่าของกระชายที่ควรรู้
กระชายหรือที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ขิงข่า มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าสั้นค่อนข้างกลมเรียงต่อกัน เหง้าตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่าเหง้าด้านข้าง เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล เนื้อด้านในสีเหลือง
พืชชนิดนี้มีรากอวบยาวปลายแหลมออกเป็นกระจุก ผิวสีน้ำตาลอ่อน เหนือดินเป็นกาบใบสีแดงเรื่อยๆ 3-6 กาบ หุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ความสูงต้นประมาณ 80 เซนติเมตร มีใบเดี่ยวเรียงสลับ โคนสอบปลายเรียวแหลม ออกดอกเป็นช่อ มีทั้งดอกสีขาวและสีขาวอมชมพูบริเวณยอด
กระชายอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ใน 100 กรัม ให้พลังงาน 54.04 แคลอรี่ ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 9.21 กรัม ไฟเบอร์ 2.4 กรัม น้ำ 84.95 กรัม และแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม เหล็ก วิตามินเอและบี นอกจากนี้ยังพบสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์และสารสำคัญในน้ำหอมระเหย เช่น โบเซนเบอร์จินเอ พินนอสตรอบิน แคมเฟอร์ คาร์ดามอนิน และแพนดูเรทินเอ

การเตรียมเหง้าพันธุ์และวัสดุปลูกอย่างถูกต้อง
การขยายพันธุ์กระชายสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ปลูกด้วยต้นและเหง้า โดยหัวพันธุ์ที่ดีควรมีอายุประมาณ 7-9 เดือน ลักษณะสมบูรณ์ ไม่มีโรคหรือแมลงรบกวน1 สำหรับการเลือกเหง้าที่จะนำมาเป็นพันธุ์ ควรเลือกเหง้ากระชายที่มีตาสมบูรณ์และปราศจากโรคและแมลง มีอายุตั้งแต่ 10 เดือนขึ้นไป
กระบวนการเตรียมพันธุ์เริ่มต้นจากการนำเหง้ามาแบ่งส่วนตัดแต่งให้เหลือรากติดลำต้นประมาณ 2 ราก และควรมีตาอย่างน้อย 3-5 ตา ก่อนปลูกควรแช่หัวพันธุ์ด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อราและสารฆ่าแมลงที่ป้องกันแมลงในดิน แช่ไว้นานประมาณ 30 นาที วิธีการเตรียมพันธุ์แบบง่ายๆ สามารถทำได้โดยการตัดรากออกจากเหง้ากระชาย แล้วนำเหง้าเหล่านั้นไปแช่น้ำทิ้งไว้สัก 2-3 คืน แล้วเช็กดูว่ามีตากระชายงอกออกมาหรือไม่
การปลูกกระชาย 1 ไร่ จะใช้หัวพันธุ์ประมาณ 400 กิโลกรัม ซึ่งจำนวนนี้จะแตกต่างกันไปตามระยะปลูกและขนาดของเหง้าพันธุ์ที่ใช้ การเตรียมพันธุ์ที่ดีจะส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของการปลูกและผลผลิตที่ได้รับ

ขอบคุณภาพจาก : Sale Here
วิธีการปลูกกระชายในแปลงขนาดใหญ่
การเตรียมดินสำหรับการปลูกกระชายต้องเริ่มจากการไถพลิกหน้าดินให้ลึกอย่างน้อย 25-30 เซนติเมตร เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอกับการแทงรากของกระชาย เนื่องจากหากดินในบริเวณตุ้มของกระชายแข็ง จะทำให้ตุ้มเจริญเติบโตลงไปในดินไม่ได้ ส่งผลให้ตุ้มหรือรากสั้น
ขั้นตอนการเตรียมดินเริ่มจากการตากดินไว้ประมาณ 7 วัน และไถพรวนดินให้เป็นก้อนที่เล็กลง ใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกปรับปรุงบำรุงดิน และพรวนดิน ยกร่องแปลงปลูกให้สูงอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพราะเมื่อฝนตก น้ำฝนจะชะล้างทำให้ร่องต่ำลง กระชายสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี
การปลูกควรใช้ส่วนเหง้าที่ตากแห้งพร้อมปลูก ซึ่งจะมีตาแตกออกมาเป็นยอดเล็กน้อย ช่วงระยะเวลาที่แนะนำให้ปลูกคือ ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี โดยฝังเหง้าลึกจากผิวดิน 1-2 เซนติเมตร ใช้ระยะปลูก 10×15 เซนติเมตร จะได้ผลผลิตสูง หรือระยะ 25×15 เซนติเมตร จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
หากปลูกในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคเน่า เกษตรกรควรอบดินเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ด้วยปุ๋ยยูเรียผสมปูนขาว อัตราส่วน 1:10 คลุกให้เข้ากับดินรดน้ำ และตบดินให้แน่น ทิ้งไว้ 7 วัน

ขอบคุณภาพจาก : Herb
เทคนิคการปลูกกระชายในกระถางสำหรับครัวเรือน
การปลูกกระชายในกระถางเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด หรือต้องการปลูกไว้บริโภคเองในครัวเรือน ขั้นตอนการปลูกเริ่มต้นจากการตัดหัวหรือเหง้าที่สมบูรณ์ให้ติดรากประมาณ 2-3 ราก ทารอยแผลที่ถูกตัดด้วยปูนแดง พร้อมกับนำไปตากในที่ร่มจนกว่าปูนจะแห้ง1
จากนั้นนำเหง้าที่ได้ไปแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 คืน เตรียมไว้ประมาณ 3-5 หัวต่อกระถาง นำดินที่จะปลูกมาตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน แล้วนำไปผสมกับปุ๋ยคอก ในอัตราดิน 2 ส่วน ต่อปุ๋ยคอก 1 ส่วน
กระถางที่นำมาใช้ควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15-18 เซนติเมตร จากนั้นใส่ดินที่เตรียมไว้ลงไปประมาณ 3 ใน 4 ส่วน นำเหง้ากระชายมาปลูกในกระถาง แล้วกลบด้านบนด้วยดินอีกชั้น จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 1 เดือน ก็จะแตกใบอ่อนให้เห็นแล้ว
สำหรับวิธีการปลูกแบบไม่ใช้ดิน เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้การเก็บเกี่ยวสะดวกมากขึ้น เพราะจะทำให้ขุดขึ้นมาล้างทำความสะอาดได้ง่ายไม่เลอะดิน2 วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการดูแลและเก็บเกี่ยว

ขอบคุณภาพจาก : blackcliffgarden
การดูแลรักษาและการให้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม
การให้ปุ๋ยเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกกระชาย ก่อนปลูกให้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยขี้ไก่เก่า หลุมละ 200 กรัม และคลุมแปลงปลูกด้วยฟางข้าวหนาประมาณ 2 นิ้ว เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชและยังช่วยรักษาความชื้นในดิน
หลังจากปลูกเสร็จรดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกระชายงอกยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร เกษตรกรควรรีบกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ในแต่ละพื้นที่อาจมีการใส่ปุ๋ยในปริมาณแตกต่างกัน ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดินปลูก และควรใส่ปุ๋ยตามความต้องการของกระชาย เพื่อให้กระชายแข็งแรงและช่วยลดต้นทุน
การให้น้ำควรทำอย่างสม่ำเสมอ ยกเว้นในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกต่อเนื่องกัน สำหรับช่วงฤดูแล้งควรให้น้ำ 2-3 วัน/ครั้ง และเมื่อกระชายแตกยอดแล้วควรให้น้ำเวลาเย็น เพราะหากให้เวลาเช้าหรือกลางวันอาจทำให้ใบไหม้ได้
การใส่ปุ๋ยเคมีให้กับต้นกระชายมากเกินไปจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ต้นกระชายเน่าตายได้ ดังนั้นจึงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสมและตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

ขอบคุณภาพจาก : เทศบาลตำบลสำราญราษฎร์
ช่วงเวลาและวิธีการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
กระชายสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุ 5-6 เดือน จนถึง 10-12 เดือน แต่ช่วงอายุ 8-9 เดือนจะให้สารสำคัญสูงสุด การเก็บเกี่ยวควรใช้มือถอนหรือจอบขุด โดยการขุดกระชายแต่ละครั้ง ควรต้องขุดในขณะที่ดินมีความชื้น ก่อนขุดถ้าดินแห้งให้รดน้ำก่อนเพื่อให้ดินนุ่ม จะช่วยลดความเสียหายของรากกระชายไม่ให้หักหรือขาดได้
กรณีที่กระชายมีอายุมากยังไม่เก็บเกี่ยว ใบของกระชายจะเริ่มเหี่ยว เหลือง ลำต้นแห้งตาย ในระยะนี้ไม่ต้องให้น้ำ เพราะจะทำให้กระชายงอก หากต้องการขยายช่วงเวลาเก็บเกี่ยวให้นานขึ้นหรือไว้ทำพันธุ์จะต้องคลุมฟางและรดน้ำเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาความชื้นของดินให้เหง้าและรากกระชายไม่ฝ่อในช่วงหน้าแล้ง
วิธีการเก็บเกี่ยวแบบใหม่ที่น่าสนใจคือการใช้แรงดันน้ำในการนำกระชายออกมาจากดิน เรียกว่าการจี้กระชายด้วยน้ำ วิธีนี้ช่วยลดความเสียหายต่อเหง้าและทำให้การเก็บเกี่ยวสะดวกมากขึ้น ผลผลิตเฉลี่ยที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 กิโลกรัมต่อไร่

ประโยชน์และสรรพคุณของกระชายที่ครอบครัวไทยควรรู้
กระชายเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งในแง่ของการบำรุงร่างกาย และใช้เป็นยาบรรเทาอาการต่างๆ อาทิ ท้องร่วง ท้องเดิน ท้องอืด โรคกระเพาะ ลำไส้ใหญ่อักเสบ นอกจากนี้ยังถือเป็นยาอายุวัฒนะ ที่มีรสเผ็ดร้อน ขม กลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว
ตามตำรับยาไทยใช้เหง้ากระชายช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดมวนท้อง รักษาโรคในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ช่วยขับระดูขาว ขับปัสสาวะ รักษาโรคบิด การแพทย์พื้นบ้านใช้บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน
รากของกระชายมีสรรพคุณในการแก้ร้อนใน บำรุงธาตุ เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้ร่างกาย และถอนพิษต่างๆ ส่วนเหง้าของกระชายใช้รักษาอาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องเฟ้อ แก้ท้องร่วง และช่วยขับปัสสาวะ
น้ำกระชายมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคหวัด โรคไข้เลือดออก อาจยับยั้งการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร และอาจมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาฟันผุ
สรุป
การปลูกกระชายจากเหง้าเป็นอาชีพที่มีศักยภาพสูงในปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ดี การเริ่มต้นปลูกสามารถทำได้ทั้งในระดับครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ โดยต้องให้ความสำคัญกับการเลือกพันธุ์ที่ดี การเตรียมดินที่เหมาะสม การดูแลรักษาที่ถูกวิธี และการป้องกันโรคศัตรูพืช ด้วยการดูแลที่เหมาะสมจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุ 5-6 เดือน และให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3,000 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากจะเป็นพืชเศรษฐกิจแล้ว กระชายยังเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้การปลูกกระชายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
#สาระ #การปลูกกระชาย #เหง้ากระชาย #สมุนไพรไทย #พืชเศรษฐกิจ #การเกษตรยั่งยืน #ปลูกกระชายในกระถาง #โรคกระชาย #ประโยชน์กระชาย #ราคากระชาย #เก็บเกี่ยวกระชา