KAVE playground

มะละกอปลูกยังไงให้โตเร็วออกผลดก พร้อมเคล็ดลับเลือกพันธุ์และดูแลที่คุณควรรู้

การปลูกมะละกอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรไทย เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีความต้องการในตลาดสูงและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมะละกอสามารถนำมาบริโภคได้ทั้งผลดิบและผลสุก มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีการใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของต้น1 การเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมและการดูแลอย่างถูกต้องจะส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี โดยต้นมะละกอสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ภายใน 5-6 เดือนหลังจากปลูก1 และสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องได้ประมาณ 2 ปี หากมีการดูแลที่เหมาะสม

สายพันธุ์มะละกอที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีอะไรบ้าง

การเลือกพันธุ์มะละกอที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการปลูกที่ประสบความสำเร็จ ในประเทศไทยมีสายพันธุ์มะละกอที่นิยมปลูกหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะเฉพาะและความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ แขกดำ ซึ่งมีจุดกำเนิดที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และได้แพร่กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ

มะละกอแขกดำ ถือเป็นต้นแบบของสายพันธุ์มะละกอไทย มีลักษณะเด่นคือต้นเตี้ย แข็งแรง สูงประมาณ 2-4 เมตร มีใบหนากว่าพันธุ์อื่น ดอกติดเร็ว ให้ผลไว ผลมีน้ำหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัม เมื่อสุกเนื้อจะมีสีแดงเข้มและมีรสหวาน ขณะที่ผลดิบจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม เนื้อหนาประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร เหมาะสำหรับการบริโภคทั้งแบบสุกและดิบ

จากการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์แขกดำ ได้เกิดสายพันธุ์ย่อยที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านต่างๆ เช่น แขกดำท่าพระ ที่เป็นผลผสมระหว่างแขกดำกับฟอริดา โทเลอแรนต์ มีความทนทานต่อโรคใบด่างจุดวงแหวนดี ติดผลเร็ว ผลหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม ผลดิบเนื้อกรอบ ผลสุกเนื้อสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานหอม1 นอกจากนี้ยังมี แขกดำศรีสะเกษ ที่ให้ผลผลิตดกและติดผลไว มีความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์สูง เริ่มออกดอกเฉลี่ย 130 วันหลังลงหลุมปลูก

มะละกอท่าพระ เป็นอีกพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาโดยสถานีวิจัยพืชสวนขอนแก่น เป็นลูกผสมระหว่างแขกดำกับฟอริดา โทเลอแรนต์ มีความทนทานต่อโรคจุดวงแหวนมะละกอดี ให้ผลเร็ว โดยมีอายุถึงวันดอกแรกบานเฉลี่ย 85 วัน และเริ่มเก็บเกี่ยวผลสุกได้ภายใน 6-7 เดือน

สำหรับพันธุ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ มะละกอโกโก้ ที่มีต้นเตี้ย ใบมีหลายสีทั้งน้ำตาล ม่วงเข้ม หรือเขียวอ่อน เนื้อสีแดงอมชมพู รสหวาน มะละกอสายน้ำผึ้ง ต้นเตี้ย ผลเรียวปลายใหญ่ เนื้อสีส้ม รสหวาน นิยมกินแบบสุก และ มะละกอเรดเลดี้ ต้นเตี้ย ให้ผลผลิตเร็ว เนื้อผลสุกแข็ง สีแดงอมชมพู ทนทานระหว่างการขนส่ง

การเตรียมเมล็ดและเพาะต้นกล้าควรทำอย่างไร

การเพาะต้นกล้ามะละกอเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะกำหนดคุณภาพของต้นในอนาคต การเตรียมต้นกล้าที่แข็งแรงจะช่วยให้การปลูกประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยมีวิธีการเพาะได้ 2 แบบหลักคือ การเพาะในถุงและการเพาะในแปลง ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การเพาะในถุงจะให้ความสะดวกในการดูแลและย้ายปลูก แต่มีต้นทุนสูงกว่า

สำหรับการเพาะในถุง ให้เริ่มต้นด้วยการเตรียมดินผสมที่มีคุณภาพ โดยใช้สัดส่วนดิน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และขี้เถ้าหรืออินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน ใส่ลงในถุงปลูกที่เจาะรูด้านล่างเพื่อระบายน้ำ การเจาะรูระบายน้ำมีความสำคัญมาก เนื่องจากมะละกอไม่ชอบน้ำขัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการเน่าของรากได้

ขั้นตอนต่อไปคือการฝังเมล็ด โดยฝังเมล็ดมะละกอลงในดินถุงละ 3-4 เม็ดให้ลึกประมาณ 0.5 เซนติเมตร แล้วตั้งถุงเรียงไว้กลางแจ้ง ต้องรดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น ประมาณ 10-14 วัน ต้นกล้าจะเริ่มมีใบ 2-3 ใบ ในขณะนั้นให้เลือกต้นที่แข็งแรงเอาไว้ต้นเดียว และเมื่อต้นกล้าครบ 45-60 วัน ก็พร้อมที่จะย้ายไปลงแปลงปลูกได้

อีกวิธีหนึ่งคือการเพาะเมล็ดลงแปลงเพาะ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกในปริมาณมาก เริ่มต้นด้วยการเตรียมแปลงเพาะกว้าง 1×3-5 เมตร เตรียมดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอก แล้วยกให้เป็นแปลงสูงจากระดับดินเดิมประมาณ 15-20 เซนติเมตร ใช้ไม้ขีดทำร่องแถวลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ห่างกันประมาณ 25 เซนติเมตร โรยเมล็ดมะละกอลงในร่องแถว รดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น

เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 20-25 วัน ให้ย้ายต้นกล้าจากแปลงเพาะมาลงถุงพลาสติกขนาด 5×8 นิ้ว ถุงละ 1 ต้น ตั้งเรียงไว้ในที่ร่มที่มีแสงแดดรำไร การดูแลในช่วงนี้ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากต้นกล้ายังอ่อนแอและต้องการความชื้นที่เหมาะสม แต่ไม่มากจนเกินไป

ขั้นตอนการปลูกและเตรียมพื้นที่ปลูกอย่างถูกต้อง

การเตรียมพื้นที่ปลูกมะละกอให้เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตในอนาคต มะละกอเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซึ่งระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขัง และต้องการพื้นที่ปลูกที่มีระยะห่างเพียงพอ เนื่องจากระบบรากของมะละกอมีความลึกและกว้าง จึงต้องเว้นระยะห่างระหว่างหลุมปลูกอย่างน้อย 2.5×3 เมตร

การเลือกสถานที่ปลูกควรพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่ ความสะดวกในการขนส่งและเก็บเกี่ยว เนื่องจากผิวของมะละกอมีความบางมาก อาจเกิดการช้ำระหว่างการเก็บเกี่ยวและขนส่งได้ นอกจากนี้ควรมีแนวไม้กันลมเพื่อป้องกันลมแรงที่อาจทำความเสียหายต่อต้นและผล การวางแผนการปลูกให้เป็นระบบจะช่วยให้การจัดการในภายหลังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เริ่มต้นด้วยการไถพื้นที่ กำจัดวัชพืช และย่อยดินให้ละเอียด จากนั้นยกหน้าดินทำเป็นแปลงขนาดกว้าง 2 ถึง 2.5 เมตร หาไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 เมตร ปักทำตำแหน่งปลูกไว้ให้เป็นแถวตรง ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 50 เซนติเมตร โดยเว้นระยะห่างระหว่างหลุมปลูกประมาณ 2 เมตร และรองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก การเตรียมหลุมปลูกล่วงหน้าจะช่วยให้ดินมีเวลาปรับสภาพและปุ๋ยสามารถย่อยสลายได้ดี

ขั้นตอนการปลูกเริ่มต้นด้วยการนำต้นกล้ามะละกอที่แข็งแรงพร้อมปลูกมาวางตามหลุมต่างๆ ที่เตรียมไว้ กรีดถุงพลาสติกออกอย่างระมัดระวัง วางต้นกล้าให้ลงตำแหน่งตรงกลางหลุมปลูก กลบดินให้แน่น โดยเฉพาะรอบๆ โคนต้น เพื่อให้รากจับดินใหม่ได้เร็ว การปลูกให้ต้นตรงกันทุกแถวจะช่วยให้ดูสวยงามและสะดวกในการดูแล

หลังปลูกแล้วให้ปิดทับหน้าดินด้วยฟางหรือแกลบ แล้วรดน้ำจนชุ่ม ในช่วงที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำกับต้นกล้ามะละกอจนตั้งตัวได้ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน การคลุมหน้าดินมีประโยชน์หลายอย่าง ได้แก่ การรักษาความชื้น ป้องกันวัชพืช และป้องกันดินแข็งตัว นอกจากนี้ช่วงที่ต้นมะละกอติดดอกออกผลก็เป็นช่วงที่ต้องให้น้ำมากอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

เคล็ดลับการดูแลและใส่ปุ๋ยให้ต้นมะละกอโตไว

การดูแลต้นมะละกอให้เจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูงต้องใส่ใจในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมและการจัดการน้ำที่ถูกต้อง การให้ปุ๋ยต้นมะละกอโดยทั่วไปจะเริ่มเมื่อต้นติดดอกออกผลแล้ว โดยให้ปุ๋ยสูตร 14-14-21 ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น หรือจะให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอก็ได้

เทคนิคการใส่ปุ๋ยแบบประหยัดที่ได้ผลดีคือการนำปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 1 ส่วน มาผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 10 ส่วน ใส่ต้นละ 1 กำมือ วิธีนี้จะช่วยให้ต้นมะละกอได้รับไนโตรเจนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต ขณะเดียวกันปุ๋ยคอกจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและให้ธาตุอาหารอื่นๆ ที่สำคัญ การใส่ปุ๋ยแบบนี้จะช่วยลดต้นทุนและยังทำให้ต้นโตไวขึ้นอีกด้วย

การรดน้ำเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากมะละกอเป็นพืชชอบน้ำ แต่ไม่ชอบน้ำขัง จึงควรรดน้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรให้น้ำมากจนท่วมขัง เพราะจะเกิดอาการบวมน้ำและเน่าตายได้ การควบคุมปริมาณน้ำให้เหมาะสมจะช่วยป้องกันโรครากเน่าซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในการปลูกมะละกอ

การกำจัดวัชพืชต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้มารบกวนต้นกล้าที่เพิ่งลงหลุมปลูก วัชพืชจะแย่งธาตุอาหารและน้ำจากต้นมะละกอ ทำให้การเจริญเติบโตช้าลง การถอนวัชพืชควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการบาดเจ็บต่อรากของต้นมะละกอ การใช้วัสดุคลุมดินจะช่วยลดปัญหาวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำไม้หลักเป็นอีกสิ่งสำคัญ เพื่อประคองต้นกล้าและทำให้แถวปลูกเป็นแถวตรง มีระเบียบ และเพื่อค้ำยันพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม เมื่อต้นโตขึ้นและเริ่มมีผลมาก น้ำหนักของผลอาจทำให้กิ่งหักได้ การมีไม้หลักจะช่วยรองรับน้ำหนักและป้องกันความเสียหายนี้

เก็บเกี่ยวผลมะละกอเมื่อไหร่จึงจะได้คุณภาพดี

การกำหนดเวลาเก็บเกี่ยวผลมะละกอให้เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อคุณภาพและราคาขายของผลผลิต ต้นมะละกอที่ปลูกไปประมาณ 5-6 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวผลดิบได้ หากต้องการเก็บผลสุก ให้รอประมาณ 8-10 เดือน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ การเลือกจังหวะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและสามารถขายได้ราคาดี

สำหรับการเก็บเกี่ยวผลดิบ ควรเลือกผลที่มีขนาดเหมาะสม ผิวเรียบ ไม่มีรอยช้ำหรือแผลเป็น และมีสีเขียวสม่ำเสมอ ผลดิบมีความต้องการในตลาดสูง เนื่องจากใช้ทำอาหารได้หลากหลาย โดยเฉพาะส้มตำที่เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย การเก็บผลดิบต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการช้ำ เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษา

การเก็บเกี่ยวผลสุกต้องดูที่ลักษณะของผล โดยเลือกผลที่กำลังเริ่มสุก ผิวเริ่มมีแต้มสีส้มปนเขียว และผลยังไม่นิ่มมาก1 ผลที่เก็บในช่วงนี้จะสามารถเก็บรักษาได้นานและค่อยๆ สุกเป็นธรรมชาติ หากเก็บผลที่สุกเกินไปจะเน่าเสียได้ง่ายและขนส่งได้ยาก

เมื่อต้นมะละกออายุ 6-8 เดือนหลังย้ายปลูก จะสามารถเก็บผลผลิตได้ โดยดูผลที่เริ่มมีแต้มสีประมาณ 2-3 แต้ม เกษตรกรสามารถเก็บได้ต้นละ 1-2 ผลต่อครั้ง และเก็บผลผลิต 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงการเก็บเกี่ยวปีแรกจะเก็บได้สะดวก เนื่องจากต้นเตี้ย แต่หากไม่มีการระบาดของโรคใบด่างวงแหวน สามารถเก็บผลผลิตได้ประมาณ 2 ปี โดยต้นจะสูงขึ้นและต้องใช้ไม้จำปาช่วยในการเก็บผล

การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้าหรือเย็น เมื่ออากาศเย็น เพื่อรักษาคุณภาพของผล และควรใช้อุปกรณ์ที่สะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวก็มีความสำคัญ ควรเก็บในที่ร่มเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และรีบนำไปขายหรือแปรรูปโดยเร็วเพื่อรักษาคุณภาพ

ปัญหาโรคและศัตรูพืชที่พบบ่อยในการปลูกมะละกอ

การปลูกมะละกอมักพบปัญหาโรคและศัตรูพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในช่วงที่มีสภาพอากาศเอื้ออำนวย เช่น ฝนตกชุกสลับกับอากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคพืชในมะละกอ โรคหลักที่พบบ่อยมีอยู่ 3 โรคด้วยกัน และหากไม่ได้รับการป้องกันหรือรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้สูญเสียผลผลิตได้มาก

โรครากเน่าและโรคยอดเหี่ยว เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราพิเทียม และไฟท๊อปธอร่า มักระบาดอย่างรุนแรงในฤดูฝน คือช่วงเดือนมิถุนายนถึงประมาณสิงหาคม โรคนี้เมื่อระบาดแล้วอาจทำให้เสียหายหมดทั้งสวนได้ ลักษณะอาการหลักคือใบมะละกอเหี่ยวแห้งตายและร่วง ลำต้นกล้าแห้งตายอย่างรวดเร็วเมื่อถอนดูจะไม่มีระบบรากเหลืออยู่ ในมะละกอต้นโตจะแสดงอาการรากเน่า ทำให้ก้านใบลู่ลง ใบเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็วทำให้เหลือแต่ยอดซึ่งมีก้านใบสั้นๆ

โรคใบด่างจุดวงแหวน เป็นอีกโรคสำคัญที่พบในมะละกอ ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่แพร่กระจายโดยแมลงหรือการสัมผัส โรคนี้จะทำให้ใบมีจุดสีเหลืองเป็นวงแหวน การเจริญเติบโตช้าลง และผลผลิตลดลง การป้องกันโรคนี้ทำได้โดยการเลือกปลูกพันธุ์ที่ต้านทานโรค เช่น พันธุ์ท่าพระที่มีความทนทานต่อโรคจุดวงแหวนมะละกอดี

การป้องกันและควบคุมโรคทำได้หลายวิธี เริ่มต้นจากการเลือกพื้นที่ปลูกที่มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำขัง การใช้ดินที่มีการระบายน้ำดีและไม่อุ้มน้ำมากเกินไป การหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปจนเกิดน้ำขัง การรักษาความสะอาดของแปลงปลูก และการกำจัดวัชพืชที่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของศัตรูพืช นอกจากนี้การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายส่งเสริมการเกษตรก็เป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ

การสังเกตอาการป่วยของต้นอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที หากพบอาการผิดปกติควรปรึกษาเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญทันที การป้องกันมักจะง่ายและประหยัดกว่าการรักษาหลังจากโรคระบาดแล้ว

ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอ

มะละกอเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลายและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มะละกอมีสรรพคุณเป็นทั้งยารักษาโรคและยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และโปรตีน

มะละกอมีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และเกลือโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหาร ธาตุโพแทสเซียม วิตามินเอ ซี และโฟเลต แต่ร้อยละ 92 ของพลังงานจากมะละกอสุกมาจากคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นผู้ที่ควบคุมอาหารแป้งและน้ำตาลจึงไม่ควรกินมะละกอมากเกินไป สีแดงอมส้มที่พบในมะละกอสุกแสดงว่ามีสารไลโคพีนซึ่งเป็นสารช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

มะละกอสุกอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี สารฟลาโวนอยด์ สารโฟเลต กรดแพนโทเทนิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร สารอาหารเหล่านี้บำรุงสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด และป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้มะละกอมีเอนไซม์ปาเปน สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทางการกีฬา

นักวิจัยพบว่ามะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดเมื่อสุกงอม เนื่องจากคลอโรฟิลล์สีเขียวเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างเยี่ยมยอด เรียกว่า NCCs สะสมบริเวณเปลือกผลและใต้ผิวเปลือก เวลาปอกมะละกอสุกจึงไม่ควรกรีดริ้วบริเวณใต้เปลือกเพราะจะสูญเสียคุณค่าอาหารนี้ไป

การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด มะละกออาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจที่มีสาเหตุจากโรคเบาหวานได้ดี มะละกอมีวิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล เส้นใยอาหารในมะละกอช่วยลดคอเลสเตอรอล

การช่วยระบบทางเดินอาหาร สารอาหารในมะละกอช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เส้นใยอาหารจากมะละกอสามารถจับกับสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่และพาส่งออกทำให้เกิดการสัมผัสกับเซลล์ลำไส้ใหญ่น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยในการย่อยอาหารและการขับถ่าย

นอกจากผลแล้ว ส่วนอื่นๆ ของต้นมะละกอก็มีประโยชน์ ยางมะละกอ มีเอนไซม์ย่อยโปรตีนหลายชนิด นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ผลิตเบียร์ ผลิตเนื้อสัตว์หรือน้ำปลา ในอุตสาหกรรมยาหรือทางการแพทย์ใช้ผลิตยารักษาแผลติดเชื้อและช่วยฆ่าพยาธิในลำไส้ได้ เมล็ดมะละกอ นำไปตากแห้งผสมกับเมล็ดฟักทองแล้วผสมน้ำ นำไปพอกแผลหนองหรือข้อเพื่อลดอาการปวดได้

สรุป

การปลูกมะละกอเป็นกิจกรรมการเกษตรที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่ดี เมื่อทำความเข้าใจถึงขั้นตอนและเทคนิคการปลูกที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่การเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม การเพาะต้นกล้าที่แข็งแรง การเตรียมพื้นที่ปลูกอย่างเหมาะสม การดูแลรักษาด้วยการใส่ปุ๋ยและรดน้ำที่เหมาะสม การป้องกันและควบคุมโรคศัตรูพืช และการเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม

ความสำเร็จในการปลูกมะละกอขึ้นอยู่กับการวางแผนที่ดีและการดำเนินการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยต้นมะละกอสามารถให้ผลผลิตภายใน 5-6 เดือนหลังปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวต่อเนื่องได้ประมาณ 2 ปี นอกจากจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพแล้ว ยังได้ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย การปลูกมะละกอจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรที่ต้องการสร้างรายได้จากการเกษตรอย่างยั่งยืน

 

#สาระ #การปลูกมะละกอ #สายพันธุ์มะละกอ #เทคนิคปลูกมะละกอ #การดูแลมะละกอ #ปุ๋ยมะละกอ #เก็บเกี่ยวมะละกอ #โรคมะละกอ #ประโยชน์มะละกอ #เกษตรอินทรีย์ #ผลไม้ไทย

อ่านเพิ่ม
The Palm (copy)
Sidebar
บทความล่าสุด
Central Pattana Residence โตต่อเนื่อง ประกาศโครงการใหม่มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ชูบ้านลักชัวรี่ใหม่ “บ้านนิรดา แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์” ย้ำแบรนด์บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัลแข็งแกร่ง เชื่อมต่อการใช้ชีวิตในมิกซ์ยูสคุณภาพ
ข่าวสาร
เอสบี ดีไซน์สแควร์ จับมือบัตรเครดิตและสินเชื่อในกลุ่มกรุงศรีคอนซูมเมอร์ เปิดตัวโซลูชันแต่งห้องพร้อมอยู่ พร้อมลงทุน ในสไตล์ที่ลงตัว ใน 3 คอนโดฯ พร้อมอยู่จากแสนสิริ The Line Vibe, XT Phayathai และ NIA by Sansiri
ข่าวสาร
AWC กับ ททท. ร่วมฉลองเดือนแห่งความหลากหลายกับ กิจกรรม “AWC Let’s Pride” ในธีม “Freedom to Love” นำขบวนพาเหรดแห่งสีสันสายรุ้ง สู่ใจกลางเชียงใหม่ ส่งต่อสู่กรุงเทพฯ และกิจกรรมตลอดเดือน พร้อม Pride Stay สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโรงแรมในเครือ
ข่าวสาร
”หมอริท-เรืองฤทธิ์“ คว้า “เจมส์จิ” ฉลองก้าวสู่ปีที่ 6 THE RITZ CLINIC อย่างยิ่งใหญ่!! พร้อมเปิดสาขาใหม่ Future Park รองรับบริการเต็มระบบ
ข่าวสาร
CheckGo by Occicare จับมือ แม็คโคร-โลตัส มอลล์ เปิด CheckGo lab สาขาใหม่ ในแม็คโคร รังสิต พร้อมแผนขยาย 50 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2569
ข่าวสาร
รีวิวโครงการ
รีวิว เดอะ ซิกเนเจอร์ สุขุมวิท 77 (The Signature Sukhumvit 77) บ้านหรูระดับ Super Luxury บททำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง
Review
รีวิว เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) คอนโดใหม่ Fully Furnished ติดบดินทรเดชาฯ ส่วนกลางจัดเต็ม 60 รายการ และโซน Pet-Friendly แยกตึก
Review
รีวิว ศุภาลัย เลค วิลล์ จันทบุรี (Supalai Lake Ville Chanthaburi) บ้านหรูสไตล์ Tropical Modern ใจกลางธรรมชาติริมทะเลสาบกว่า 10 ไร่ พร้อมฟังก์ชันครบครัน รองรับชีวิตระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจันทบุรี
Review
รีวิว ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง (Supalai River Ville Rayong) บ้านเดี่ยวหรู สไตล์ Modern Tropical Series ฟีลดีติดริมแม่น้ำ ทำเลคุณภาพใจกลางเมืองระยอง
Review
รีวิว ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2-วงแหวน ครบครันทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ในโซนพระราม 2-สมุทรสาคร
Review
Loading..