การปลูกมะเขือเป็นหนึ่งในกิจกรรมทำสวนครัวที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นผักที่มีหลากหลายสายพันธุ์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลวก ผัด ต้ม แกง หรือจิ้มกับน้ำพริก ซึ่งถือเป็นผักที่ถูกปากคนไทยเป็นอย่างมาก การปลูกมะเขือในสวนครัวหลังบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการผักสดใสปลอดสารพิษ และประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

มะเขือมีกี่ชนิดที่เหมาะกับการปลูกที่บ้าน?
มะเขือที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ โดยแต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัวและวิธีการดูแลที่แตกต่างกันไป การเลือกชนิดมะเขือที่เหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับการปลูกให้ประสบความสำเร็จ
มะเขือเปราะ หรือ Solanum Aculeatissinum Jacq. เป็นพืชล้มลุกทรงพุ่มขนาดเล็ก มีลำต้นตั้งตรงผิวเรียบไม่มียาง ใบทรงหัวลูกศรปลายแหลม ผลเป็นทรงกลมเรียบ เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ ส่วนใหญ่เป็นสีเขียว แต่อาจพบสีขาว เหลือง หรือม่วงตามสายพันธุ์ ภายในเป็นเมือกและมีเมล็ดจำนวนมาก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมะเขือชนิดนี้
มะเขือเทศ หรือ Lycopersicon Esculentum Mill. เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นตั้งตรงกลมแข็งและเหนียว กิ่งก้านเป็นทรงพุ่มมีขนอ่อนปกคลุม มีกลิ่นเฉพาะตัว ผลมีรูปร่างและสีต่างกันตามสายพันธุ์ เมื่อสุกจะเป็นสีแดง ส้ม หรือเหลือง เนื้อในฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวหวานกรอบ
มะเขือพวง หรือ Solanum Torvum Sw. เป็นไม้พุ่มยืนต้นที่แตกต่างจากมะเขือชนิดอื่น สูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นขนาดใหญ่ตั้งตรงมีขนปกคลุม มีหนามเล็กห่างๆ ออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝน มีสารอาหารสูง ประกอบด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
มะเขือม่วง หรือ Solanum Melongena เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 50-150 เซนติเมตร ทรงพุ่มหนา กิ่งก้านสาขามาก ใบขนาดใหญ่ผิวเรียบขอบเว้า มีขนปกคลุมและเส้นกลางใบสีม่วงนูนเด่นชัด ผลเป็นสีม่วงมีทั้งทรงกลมและทรงยาว ขนาด 5-30 เซนติเมตร

การเตรียมดินและภาชนะปลูกควรทำอย่างไร?
การเตรียมดินและภาชนะปลูกเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญต่อความสำเร็จในการปลูกมะเขือ ดินที่ดีจะต้องมีการระบายน้ำที่เหมาะสม อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ และมีค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของมะเขือแต่ละชนิด
สำหรับการปลูกในแปลง ควรใช้จอบขุดย่อยดินหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร และย่อยดินให้ละเอียด จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหว่านและคลุกเคล้าให้เข้ากับดินในแปลง ขุดหลุมลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยใช้ระยะปลูก 50×50 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นมะเขือมีพื้นที่เจริญเติบโตอย่างเพียงพอ
การปลูกในกระถางเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด โดยผสมดินปลูกในกระถางใช้ดินร่วนละเอียดผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 วิธีนี้จะช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และการระบายน้ำที่ดี ภาชนะปลูกควรมีรูระบายน้ำที่เพียงพอ และสามารถใช้กาบมะพร้าวสับใส่ที่ก้นกระถางเพื่อช่วยการระบายน้ำ
มะเขือส่วนใหญ่จะเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีอินทรียวัตถุสูง ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินควรอยู่ที่ 6-6.8 และไม่ชอบน้ำขัง ชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน การเตรียมดินให้เหมาะสมจะส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ได้รับ

วิธีการเพาะเมล็ดและย้ายกล้าที่ถูกต้องคืออะไร?
การเพาะเมล็ดเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องใช้ความระมัดระวังและความอดทน เนื่องจากเมล็ดมะเขือมีขนาดเล็กและต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการงอก การเตรียมวัสดุเพาะและการดูแลในช่วงแรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การเพาะเมล็ดควรเริ่มต้นด้วยการเตรียมดินละเอียดพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 ใส่ดินผสมลงในถาดพลาสติกเพาะกล้า ใช้เศษไม้เล็กขนาดเท่าไม้จิ้มผลไม้กดลงไปในดินลึก 0.5 เซนติเมตร นำเมล็ดมะเขือหยอดลงในหลุมปลูกหลุมละ 1-2 เมล็ด แล้วกลบดินผิวหน้าเมล็ด
หลังเพาะประมาณ 7-10 วัน เมล็ดมะเขือจะเริ่มงอก จำเป็นต้องหมั่นรดน้ำต้นกล้าทุกวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น จนกระทั่งต้นกล้ามีอายุ 25-30 วัน หรือมีใบจริง 3-4 ใบ จึงสามารถย้ายกล้าลงปลูกในกระถางหรือแปลงปลูกได้
สำหรับมะเขือเทศ การเพาะเมล็ดควรใช้พีทมอสสำหรับเพาะกล้าโดยเฉพาะ นำพีทมอสใส่ถาดเพาะให้เต็มหลุมเหลือพื้นที่ปากหลุมไว้ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงหลุมละ 1-2 เมล็ด เติมพีทมอสอีกครั้งให้เต็มหลุมแต่อย่าให้แน่นเกินไป รดน้ำทุกวันเช้า-เย็น อย่าปล่อยให้พีทมอสแห้ง
การย้ายกล้าควรทำในช่วงเย็นเพื่อให้ต้นกล้าฟื้นตัวในช่วงกลางคืน ก่อนย้ายลงแปลงต้องให้น้ำในแปลงปลูกอย่างเพียงพอ ไม่แห้งหรือแฉะเกินไป หลังจากย้ายปลูกแล้วควรวางในที่ร่มก่อน 1-2 วัน พอแข็งแรงแล้วค่อยย้ายออกไปตั้งให้โดนแสงแดด

การดูแลและให้ปุ๋ยอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด?
การดูแลมะเขือหลังจากปลูกแล้วต้องให้ความสำคัญกับการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการป้องกันโรคแมลง เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้เต็มที่และให้ผลผลิตที่ดี การดูแลที่เหมาะสมจะส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตที่ได้รับ
การให้น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลมะเขือ ในช่วงแรกหลังปลูกควรรดน้ำทุกวันทั้งเช้าและเย็น หลังจากนั้นค่อยลดลงเรื่อยๆ จนเหลือประมาณ 2 วันต่อครั้ง สำหรับมะเขือเปราะที่ชอบน้ำมาก ต้องระมัดระวังในการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงการติดผล
การให้ปุ๋ยควรแบ่งเป็นช่วงๆ ตามอายุของต้น ในช่วงแรกหลังย้ายปลูก 7-10 วัน ให้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลังจากให้ปุ๋ยครั้งแรก 15 วัน และให้ทุกๆ 10 วันครั้ง เมื่อเริ่มติดผลให้ผสมปุ๋ยสูตร 13-13-21 กับ 15-15-15 อัตราส่วน 1:1
สำหรับมะเขือพวงที่เป็นไม้กลางแจ้งทนความร้อนและแล้งได้ดี การดูแลจึงไม่ยากนัก ควรหมั่นกำจัดวัชพืชเป็นประจำ ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยเคมีได้ตามสมควร โดยมะเขือพวงไม่ค่อยมีปัญหาแมลงรบกวน และสามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นเวลานาน
การตัดแต่งกิ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้มะเขือออกผลได้ดี โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ต้องการการทำค้างให้เลื้อยและการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ออกผลดี1 การตัดแต่งกิ่งที่เคยเก็บผลผลิตหลังจากเก็บเกี่ยวไปแล้วประมาณ 60 วัน จะช่วยให้มียอดใหม่มาแทนที่และให้ผลผลิตรุ่นใหม่ได้อีก

เมื่อไหร่ที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยว?
การเก็บเกี่ยวมะเขือในเวลาที่เหมาะสมจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย และสามารถเก็บรักษาได้นาน แต่ละชนิดของมะเขือจะมีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการเจริญเติบโตและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
มะเขือเปราะจะสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 65-90 วัน โดยเก็บในขณะที่ผลยังอ่อนและมีขนาดเหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้แก่เกินไปเพราะจะทำให้เนื้อแข็งและมีรสขื่น การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้าเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สดใสและมีน้ำหนักมาก
มะเขือเทศจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 50-60 วัน หลังจากหยอดเมล็ด และต้องเก็บทุกๆ 2-3 วันครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี การเก็บเกี่ยวที่สม่ำเสมอจะกระตุ้นให้ต้นออกผลใหม่ต่อเนื่อง และสามารถเก็บผลผลิตได้ 3-4 เดือน นับจากหยอดเมล็ด
มะเขือพวงจะเริ่มออกผลผลิตเมื่อปลูกครบ 60 วัน โดยสามารถเก็บผลผลิตไปขายหรือบริโภคได้เลย ข้อดีของมะเขือพวงคือสามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นเวลานาน และออกผลตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝน
มะเขือม่วงและมะเขือยาวจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 60-80 วัน การเก็บเกี่ยวควรทำเมื่อผลมีขนาดเหมาะสม ผิวเรียบเป็นมันและมีสีสวยงาม หากปล่อยให้แก่เกินไปจะทำให้เนื้อแข็งและมีเมล็ดมาก การเก็บเกี่ยวผลอ่อนจะได้รสชาติที่ดีกว่าและเหมาะสำหรับการประกอบอาหาร

ปัญหาที่พบบ่อยในการปลูกมะเขือและวิธีแก้ไขมีอะไรบ้าง?
การปลูกมะเขืออาจพบปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต การรู้จักปัญหาและวิธีการแก้ไขที่ถูกต้องจะช่วยให้การปลูกมะเขือประสบความสำเร็จและได้ผลผลิตที่ดี
ปัญหาโรคเน่าเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะในมะเขือเทศ หากปลูกในช่วงที่ฝนตกมาก การป้องกันคือการปลูกในช่วงปลายฝน มีการระบายน้ำที่ดี และไม่ให้น้ำขัง รวมถึงการให้น้ำที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป
แมลงศัตรูพืชเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องคอยระวัง โดยเฉพาะแมลงอีกขาวที่จะบินเข้ามารบกวนตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวพาหะในการนำโรคเข้าสู่ต้น วิธีป้องกันคือการใช้น้ำหรือสมุนไพรไล่แมลงฉีดพ่นบ่อยๆ เพื่อป้องกันและกำจัดแมลงเหล่านี้
ปัญหาการขาดน้ำหรือน้ำมากเกินไปส่งผลต่อการเจริญเติบโต การให้น้ำควรสม่ำเสมอและเหมาะสมกับแต่ละช่วงการเจริญเติบโต ในช่วงที่ต้นยังเล็กต้องการน้ำมาก แต่ต้องคุมปริมาณเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเปื่อย การสังเกตความชื้นของดินและสภาพใบจะช่วยในการปรับปริมาณน้ำให้เหมาะสม
ปัญหาการขาดธาตุอาหารจะแสดงออกผ่านสีใบ การเจริญเติบโต และคุณภาพผลผลิต การให้ปุ๋ยตามช่วงการเจริญเติบโตและความต้องการของแต่ละชนิดมะเขือจะช่วยป้องกันปัญหานี้ โดยให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงแรก และปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงในช่วงออกดอกติดผล
สรุป
การปลูกมะเขือที่บ้านเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยมะเขือแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะและวิธีการดูแลที่แตกต่างกัน การเลือกชนิดที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความต้องการ การเตรียมดินและภาชนะปลูกที่ดี การเพาะเมล็ดและย้ายกล้าอย่างถูกต้อง การดูแลและให้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม รวมถึงการเก็บเกี่ยวในเวลาที่ถูกต้อง จะช่วยให้ได้ผลผลิตมะเขือที่มีคุณภาพดี ปลอดสารพิษ และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบ
การปลูกมะเขือยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดค่าใช้จ่าย และเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และสร้างความภาคภูมิใจจากการได้บริโภคผลผลิตที่ปลูกด้วยมือตนเอง
#สาระ #การปลูกมะเขือ #มะเขือเปราะ #มะเขือเทศ #มะเขือพวง #มะเขือม่วง #มะเขือยาว #มะเขือไข่เต่า #มะเขือขื่น #ผักสวนครัว #ปลูกผักที่บ้าน #วิธีปลูกมะเขือ #สวนครัวหลังบ้าน #ผักปลอดสารพิษ #เกษตรในครัวเรือน #ปลูกผักเองกินเอง