บัวเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญและความหมายพิเศษในวัฒนธรรมไทย นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความศรัทธาแล้ว ยังเป็นไม้น้ำที่นิยมปลูกเพื่อความสวยงามในบ่อหรือภาชนะต่างๆ ภายในบ้าน หลายคนอาจคิดว่าการปลูกบัวเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงแล้ว หากเข้าใจวิธีการที่ถูกต้อง ใครๆ ก็สามารถปลูกบัวให้งามและออกดอกสวยได้ตลอดทั้งปี มาทำความรู้จักกับพันธุ์บัว วิธีปลูก และการดูแลบัวให้สวยงามกันดีกว่า

รู้จักกับสายพันธุ์บัวที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?
บัวในประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็น 3 สกุลใหญ่ โดยแต่ละสกุลมีลักษณะเฉพาะและความสวยงามที่แตกต่างกันไป
บัวหลวง หรือ ปทุมชาติ
บัวหลวง (Nelumbo nucifera) ได้รับการขนานนามว่า “ราชินีแห่งไม้น้ำ” มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และไทย มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าและไหล ใบเมื่อยังอ่อนจะลอยปริ่มน้ำ ส่วนใบแก่จะชูเหนือน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ดอกชูสูงเหนือน้ำ มีทั้งดอกทรงป้อมและแหลม กลีบดอกมีทั้งชนิดซ้อนและไม่ซ้อน
พันธุ์บัวหลวงที่นิยมปลูกในไทยมี 4 พันธุ์หลัก:
- ปทุม หรือ “บัวแหลมแดง” – ดอกแหลมสีชมพู กลีบดอกไม่ซ้อน
- ปุณฑริก หรือ “บัวแหลมขาว” – ดอกแหลมสีขาว กลีบดอกไม่ซ้อน
- สัตตบงกช หรือ “บัวฉัตรแดง” หรือ “บัวป้อมแดง” – ดอกป้อมสีชมพู กลีบดอกซ้อนมาก
- สัตตบุษย์ หรือ “บัวฉัตรขาว” หรือ “บัวป้อมขาว” – ดอกป้อมสีขาว กลีบดอกซ้อนมาก
บัวผัน-บัวเผื่อน และบัวสาย
บัวสายพันธุ์นี้อยู่ในสกุลอุบลชาติ (Nymphaea) ลักษณะใบลอยอยู่บนผิวน้ำ ดอกชูเหนือน้ำเล็กน้อย มีสีสันสวยงามหลากหลาย ได้แก่:
- บัวผัน/บัวเผื่อน – บานกลางวัน มี 4 พันธุ์หลักคือ บัวนิล (สีม่วงเข้ม), บัวขาบ (สีฟ้าคราม), บัวผัน (สีชมพู) และบัวเผื่อน (สีขาว ปลายกลีบอาจมีสีครามหรือชมพู)
- บัวสาย – บานกลางคืน มี 3 พันธุ์หลักคือ สัตตบรรณ (สีแดง), เศวตอุบล (สีขาว) และบัวสายกินได้ (สีชมพู)
บัวฝรั่ง
บัวฝรั่ง (Hardy Water Lily) มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเขตหนาว ลักษณะใบกลม ขอบใบเรียบ ดอกลอยหรือชูพ้นน้ำเล็กน้อย มีหลายสี เช่น ขาว ชมพู แดง เหลือง และแสด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกดกในฤดูฝน
จงกลนี
จงกลนี (Nymphaea siamensis) อยู่ในสกุลอุบลชาติ ใบเป็นรูปไข่ ขอบใบหยัก ดอกบานใกล้ผิวน้ำหรือชูก้านขึ้นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่น กลีบดอกเล็กเรียว ซ้อนกันหลายชั้น ดอกลอยบานตลอดเวลา มีสีชมพูและเปลี่ยนเป็นสีขาวและสีเขียวสลับเมื่อใกล้โรย
บัวกระด้ง หรือบัววิกตอเรีย
บัวกระด้ง (Victoria amazonica) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แถบลุ่มน้ำอะเมซอน ใบมีขนาดใหญ่และกลมคล้ายกระด้ง ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอมตอนกลางคืน บานตอนเย็น หุบตอนสาย

วิธีเลือกบัวที่เหมาะกับการปลูกในบ้านควรพิจารณาอะไรบ้าง?
การเลือกบัวให้เหมาะกับพื้นที่และสภาพแวดล้อมในบ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปลูกบัวประสบความสำเร็จ โดยควรพิจารณาจาก:
พื้นที่และขนาดภาชนะ
- สำหรับพื้นที่จำกัด เช่น กระถางหรืออ่างเล็ก: เหมาะกับบัวผัน บัวเผื่อน หรือจงกลนี
- สำหรับบ่อขนาดกลาง: เหมาะกับบัวหลวงหรือบัวฝรั่ง
- สำหรับบ่อขนาดใหญ่: เหมาะกับบัวกระด้งหรือบัววิกตอเรีย
แสงแดดและสภาพอากาศ
- บัวทุกชนิดชอบแสงแดดจัด ควรได้รับแสงแดดอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน
- หากพื้นที่มีลมแรง ควรเลือกบัวประเภทดอกลอย เช่น บัวฝรั่งหรือจงกลนี
- อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส
ความลึกของน้ำ
- บัวหลวง: ต้องการความลึกของน้ำประมาณ 30-60 เซนติเมตร
- บัวผัน บัวเผื่อน และบัวสาย: ต้องการความลึกของน้ำประมาณ 20-30 เซนติเมตร
- บัวฝรั่ง: ต้องการความลึกของน้ำประมาณ 15-30 เซนติเมตร
- จงกลนี: ต้องการความลึกของน้ำประมาณ 10-20 เซนติเมตร

ปลูกบัวให้งามและออกดอกสวยตลอดปีทำอย่างไร?
การปลูกบัวให้เจริญเติบโตและออกดอกสวยงามตลอดทั้งปีไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ปฏิบัติตามขั้นตอนและเทคนิคการดูแลที่ถูกต้อง
วิธีปลูกบัว
การปลูกบัวด้วยการแยกหน่อหรือเหง้า
- ตัดแยกหน่ออ่อนยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
- นำปลูกลงกระถางเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร ลึกประมาณ 5 เซนติเมตร
- ใช้ดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียวผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วนดิน 5 ส่วน ปุ๋ย 0.5 ส่วน
- เติมน้ำลึกประมาณ 10 เซนติเมตร
- ปลูกจนต้นสมบูรณ์จึงนำลงปลูกในแหล่งที่ต้องการได้
การปลูกบัวด้วยการแยกไหล
- ตัดไหลที่มีต้นอ่อนงอกออกมาประมาณ 3 ข้อ
- นำปลูกลงดินในกระถางลึกประมาณ 5 เซนติเมตร
- รอจนต้นสมบูรณ์จึงนำลงปลูกในแหล่งที่ต้องการได้
เทคนิคการดูแลบัวให้สวยงาม
- เลือกดินที่เหมาะสม: ใช้ดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียว ไม่ควรใช้ดินร่วนซุยเพราะจะทำให้ดินฟุ้งกระจายในน้ำ
- เตรียมดินปลูกให้ดี: นำดินมาแช่น้ำและขยำให้เนียนละเอียด ไม่มีเศษขยะหรือรากไม้ปะปน
- การให้ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0 เดือนละครั้ง โดยห่อเม็ดปุ๋ยด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วฝังไว้ใกล้รากบัว ที่ระดับประมาณ 4-5 นิ้ว
- การดูแลน้ำ: รักษาความใสของน้ำ หากน้ำขุ่นหรือเขียวเกินไปควรเปลี่ยนน้ำใหม่
- การตัดแต่ง: ตัดใบและดอกที่เหี่ยวแห้งหรือเสียหายออกเพื่อกระตุ้นการแตกยอดและออกดอกใหม่
- การป้องกันโรคและแมลง: ตรวจสอบโรคและแมลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบควรกำจัดทันทีเพื่อป้องกันการระบาด

ทำไมบัวไม่ยอมออกดอก และแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
การปลูกบัวอาจพบปัญหาบัวไม่ออกดอกหรือดอกไม่สวยเท่าที่ควร ซึ่งมีสาเหตุและวิธีแก้ไขดังนี้
สาเหตุที่บัวไม่ออกดอก
- ดินเสื่อมคุณภาพ: ดินเหลวหรือเละเป็นโคลน ทำให้รากบัวไม่แข็งแรง
- น้ำไม่เหมาะสม: น้ำมีความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม น้ำขุ่น หรือมีสาหร่ายมากเกินไป
- ขาดแสงแดด: บัวไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ (น้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน)
- ภาชนะปลูกไม่เหมาะสม: ความลึกของน้ำไม่เหมาะสมกับชนิดของบัว
- ขาดสารอาหาร: บัวไม่ได้รับปุ๋ยหรือสารอาหารที่จำเป็น
- สภาพอากาศไม่เหมาะสม: อุณหภูมิต่ำเกินไปทำให้บัวเข้าสู่ภาวะพักตัว
วิธีแก้ไขปัญหาบัวไม่ออกดอก
- เปลี่ยนดินปลูก: หากดินเสื่อมคุณภาพ ควรเปลี่ยนดินใหม่โดยใช้ดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียวที่มีคุณภาพดี
- ปรับปรุงคุณภาพน้ำ: เปลี่ยนน้ำใหม่หากน้ำขุ่นหรือมีสาหร่ายมากเกินไป
- ย้ายตำแหน่งปลูก: ย้ายบัวไปปลูกในที่ที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
- ปรับระดับน้ำ: ปรับความลึกของน้ำให้เหมาะสมกับชนิดของบัว
- เพิ่มปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมตามคำแนะนำ โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0
- ตัดแต่งส่วนที่เสียหาย: ตัดใบและดอกที่เหี่ยวแห้งหรือเสียหายออกเพื่อกระตุ้นการแตกยอดและออกดอกใหม่

ประโยชน์ของบัวมีอะไรบ้างนอกเหนือจากความสวยงาม?
นอกจากความสวยงามแล้ว บัวยังมีประโยชน์มากมายในหลายด้าน ทั้งการนำมาประกอบอาหาร และสรรพคุณทางยา
ดอกบัว
- ใช้ในพิธีทางศาสนา เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความศรัทธา
- สามารถนำมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้มดอกบัว หรือทำเป็นชา
ใบบัว
- ใบสดหรือใบแห้งสามารถต้มกับน้ำเปล่าช่วยลดความดันโลหิตสูงและลดไขมันในเส้นเลือด
- ใช้ห่อขนมหรืออาหารได้
รากบัว
- นำมาเชื่อมเป็นของหวาน ต้มน้ำตาล หรือต้มจืด
- มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน พร้อมบำรุงร่างกาย
- ช่วยบำรุงอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ม้าม ไต และกระเพาะอาหาร
- มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยระบบขับถ่าย
สายบัว
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง บรรเทาอาการท้องผูก
- สามารถนำมาทำอาหารต่างๆ เช่น แกงส้ม แกงเลียง หรือผัดต่างๆ
เม็ดบัว
- นำไปต้มน้ำตาล อบกรอบ
- ช่วยบำรุงเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสมอง
- ช่วยแก้ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ลำไส้อักเสบ
- ช่วยบำรุงครรภ์สำหรับสตรีมีครรภ์
- ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
- มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจและช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ
เกสรบัว
- ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น
- บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงกำลัง
- ช่วยควบคุมธาตุ แก้ลม แก้ไข้
ดีบัว
- นำมาตากแห้ง คั่วให้หอม ชงน้ำร้อนดื่มเหมือนน้ำชา
- ช่วยขยายหลอดเลือด บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ

การดูแลรักษาบัวให้สวยงามอย่างยั่งยืนทำได้อย่างไร?
การดูแลรักษาบัวอย่างถูกวิธีจะช่วยให้บัวเจริญเติบโต ออกดอกสวยงาม และมีอายุยืนยาว โดยมีเทคนิคดังนี้
การดูแลระยะยาว
- เปลี่ยนดินทุก 1-2 ปี: ดินอาจเสื่อมคุณภาพหลังการปลูกนาน ควรเปลี่ยนดินเพื่อให้บัวได้รับสารอาหารเพียงพอ
- เปลี่ยนน้ำเมื่อน้ำขุ่น: รักษาความใสของน้ำ เพื่อให้บัวเจริญเติบโตได้ดี
- การแยกหน่อหรือแบ่งกอ: เมื่อบัวเจริญเติบโตและแตกหน่อมากเกินไป ควรแยกหน่อหรือแบ่งกอเพื่อไม่ให้แออัดเกินไป
- การป้องกันศัตรูพืช: ตรวจสอบโรคและแมลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเพลี้ยและหนอนที่ชอบกัดกินใบบัว
การดูแลตามฤดูกาล
- ฤดูร้อน: ให้น้ำเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการระเหย และเพิ่มความถี่ในการให้ปุ๋ย
- ฤดูฝน: ควบคุมระดับน้ำไม่ให้ท่วมกระถางหรือเหง้าบัว
- ฤดูหนาว: ลดการให้ปุ๋ย เพราะบัวจะเข้าสู่ภาวะพักตัว และควรย้ายบัวไปไว้ในที่ที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
การปลูกบัวในบ้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด เพียงแค่เข้าใจธรรมชาติของบัว เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ และดูแลอย่างถูกวิธี ก็จะได้ชื่นชมความงามของดอกบัวที่ออกดอกสวยงามตลอดทั้งปี อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของบัวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำมาประกอบอาหาร หรือใช้เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพ ลองปลูกบัวสักต้นในบ้านของคุณ แล้วคุณจะพบว่า การปลูกบัวเป็นทั้งงานอดิเรกที่สร้างความสุข และเพิ่มความสวยงามให้กับบ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์
#สาระ #บัวหลวง #บัวสวยงาม #การปลูกบัว #ไม้น้ำ #สมุนไพร #ดอกไม้มงคล #วิธีปลูกบัว #บัวสายพันธุ์ไทย #ดูแลบัว #ประโยชน์ของบัว