เฟิร์นเป็นหนึ่งในพืชเขียวที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับมาอย่างยาวนาน ด้วยความสวยงามของใบสีเขียวสดที่มีรูปทรงหลากหลาย ทำให้เฟิร์นเป็นที่นิยมในการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกบ้าน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า นอกจากความสวยงามแล้ว เฟิร์นยังมีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทั้งช่วยฟอกอากาศ เพิ่มความชื้น และบางชนิดยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย

เฟิร์นคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร?
เฟิร์นเป็นพืชชั้นต่ำที่มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งแบบลำต้นตั้งตรง ทอดตัวไปกับพื้นดิน และแบบเหง้าใต้ดิน ลำต้นทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและอาหาร เฟิร์นเป็นพืชที่ไม่มีดอกหรือเมล็ด แต่สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยสปอร์ ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เล็กๆ ที่อยู่บริเวณใต้ใบ
เฟิร์นมีประมาณ 20,000 สายพันธุ์ทั่วโลก และสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่พื้นที่ชุ่มชื้น ภูเขาสูง พื้นที่เปิดโล่ง ในน้ำ บนหิน หรือแม้แต่บนต้นไม้อื่น ในระบบนิเวศ เฟิร์นหลายชนิดอยู่ร่วมกับเชื้อราไมคอร์ไรซา ซึ่งช่วยในการดูดซึมสารอาหาร
ในแง่ของโครงสร้างทางพฤกษศาสตร์ เฟิร์นประกอบด้วยลำต้น (มักเป็นเหง้าใต้ดิน) ใบ และราก บางชนิดอาจมีลำต้นสูงได้ถึง 20 เมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

ประโยชน์ที่น่าทึ่งของการปลูกเฟิร์นในบ้านมีอะไรบ้าง?
การปลูกเฟิร์นไว้ในบ้านมีประโยชน์มากมายนอกเหนือจากความสวยงาม ดังนี้:
ช่วยฟอกอากาศได้ดีเยี่ยม
เฟิร์นเป็นหนึ่งในพืชที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟอกอากาศ สามารถขจัดสารพิษในอากาศได้หลายชนิด เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ที่พบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไตรคลอโรเอทิลีนในผลิตภัณฑ์ซักแห้ง ไซลีนในสีและกาว และโทลูอีนที่พบในทินเนอร์และน้ำมันเบนซิน การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าเฟิร์นสามารถลดมลพิษในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด และปัญหาระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
เพิ่มความชื้นในอากาศ
เฟิร์นปล่อยไอน้ำเข้าไปในอากาศผ่านกระบวนการคายน้ำ ช่วยเพิ่มความชื้นในห้องที่แห้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีการใช้เครื่องทำความร้อน ซึ่งทำให้อากาศแห้ง ความชื้นที่เพิ่มขึ้นช่วยลดอาการแห้งของผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ
ลดความเครียดและปรับอารมณ์
การศึกษาพบว่าการอยู่ท่ามกลางพืชสีเขียวสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ เฟิร์นด้วยสีเขียวสดและรูปทรงที่อ่อนช้อยช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติแม้อยู่ในอาคาร
มีสรรพคุณทางยา
เฟิร์นบางชนิดมีสรรพคุณทางยา โดยเฉพาะในส่วนของรากและเหง้า ซึ่งอุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ เช่น แอสพิดินอล แทนนิน น้ำมันหอมระเหย และวิตามินหลายชนิด ในการแพทย์พื้นบ้าน มีการใช้เฟิร์นเพื่อรักษาอาการไอ ขับปัสสาวะ ลดกรดในกระเพาะ และมีคุณสมบัติในการกำจัดสารพิษ
ให้คุณค่าทางโภชนาการ
เฟิร์นบางชนิดสามารถรับประทานได้ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยในเฟิร์น 100 กรัม ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม โปรตีน 4.6 กรัม และไขมันเพียง 0.4 กรัม รวมทั้งมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี วิตามิน A, B, C และ PP ซีลีเนียม แมกนีเซียม และเบต้าแคโรทีน

10 สายพันธุ์เฟิร์นไหนที่นิยมปลูกและเหมาะสำหรับมือใหม่?
เฟิร์นบอสตัน
เฟิร์นบอสตัน (Boston Fern) มีจุดเด่นที่ความโค้งและสีเขียวสด มีรอยหยักลึกและเว้นระยะห่างเท่ากัน ปลูกได้ทั้งในกระถางและตะกร้าแขวน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับภายในบ้านเพราะช่วยฟอกอากาศได้ดี ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดีและความชื้นสูง ควรวางในที่มีแสงแดดรำไรหรือแสงแดดส่องถึง แต่ไม่ร้อนจัด และต้องรดน้ำสม่ำเสมอ
เฟิร์นข้าหลวง
เฟิร์นข้าหลวง (Bird’s Nest Fern) มีใบยาว ขอบใบหยักคล้ายคลื่น ปลายรี ใบเรียงตัววนรอบคล้ายรูปดอกกุหลาบ สีเขียวอ่อนถึงเข้ม เติบโตดีในที่มีแสงสว่างหรือแสงรำไร ชอบดินร่วนปนทราย ควรรดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรฉีดน้ำใส่ใบโดยตรงเพราะอาจทำให้ใบเสียหายหรือฉีกขาด
เฟิร์นนาคราช
เฟิร์นนาคราช มีลักษณะเหง้าเลื้อยได้ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบรอบนอกรูปสามเหลี่ยม ก้านใบเล็กสีเขียวสด ชอบความชื้น ต้องการน้ำปานกลาง ชอบแสงรำไร ควรปลูกในดินร่วนที่ระบายอากาศดี รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง นอกจากปลูกเป็นไม้ประดับแล้ว ยังใช้บรรเทาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้
เฟิร์นชายผ้าสีดา
เฟิร์นชายผ้าสีดา (Holttums Staghorn Fern) มีจุดเด่นที่ใบห้อยย้อยลงมาคล้ายชายผ้านุ่งหรือผ้าสไบ เป็นเฟิร์นแบบอิงอาศัยที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใหญ่หรือหน้าผาหินในบริเวณที่มีความชื้นสูง ต้องการแสงแดดปานกลางถึงมากและอากาศถ่ายเทสะดวก
เฟิร์นเงิน
เฟิร์นเงิน (Victoria Fern) มีลักษณะเป็นกอแทงขึ้นจากใต้ดิน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น พื้นใบสีเขียว กลางใบด่างสีขาวเป็นลายคล้ายก้างปลา ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำและอากาศดี ต้องการน้ำปานกลาง แสงแดดรำไร สามารถปลูกในกระถางหรือตะกร้าแขวน
เฟิร์นก้านดำ
เฟิร์นก้านดำ (Maidenhair Fern) มีเหง้าสั้น ก้านสีดำ ใบเป็นใบประกอบขนนกชั้นเดียว ใบย่อยมีขอบหยัก ปลายก้านใบยาว เจริญเติบโตดีในสภาพอากาศไม่ร้อน ความชื้นสูง ดินเป็นกรดอ่อนและระบายน้ำดี ชอบแสงรำไร มีสรรพคุณทางยา ช่วยรักษาอาการไอ ขับปัสสาวะ และลดกรดในกระเพาะ
เฟิร์นเท้ากระต่าย
เฟิร์นเท้ากระต่าย (Rabbit’s Foot Fern) มีลักษณะเด่นที่เหง้ามีขนยาวงอกขึ้นมาคล้ายเท้ากระต่าย ใบเป็นใบประกอบขนนกสีเขียว ปลายใบแคบ ชอบแสงปานกลางหรือแสงรำไร ควรปลูกในดินร่วนระบายน้ำดี รดน้ำทุก 2-3 วัน หรือแค่พอให้ชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง จึงเหมาะสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง
เฟิร์นเขากวาง
เฟิร์นเขากวาง (Staghorn Fern) มีใบปลายแผ่กว้างและหยักเว้า โคนใบห่อแน่น ปลายแยกแตกเป็นกิ่งหลายชั้นคล้ายเขากวาง ชอบแสงรำไรถึงแสงมาก ชอบน้ำปานกลางถึงมาก ชอบดินระบายน้ำดี นิยมปลูกเกาะกับต้นไม้หรือจัดสวนแนวตั้ง ควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง หรือ 2-3 สัปดาห์ในช่วงที่มีอากาศชื้น
เฟิร์นหางนางเงือก
เฟิร์นหางนางเงือก มีเหง้าทอดไปตามพื้น ใบเป็นรูปหอก ปลายแตกออกเป็นแฉกหลายแฉก แผ่นใบห้อยลง ขอบใบเรียบ ชอบดินร่วนที่ระบายน้ำดี ชอบความชื้นปานกลางถึงสูง ต้องการแสงแดดรำไร นิยมปลูกเป็นไม้กระถางประดับหรือจัดสวน
เฟิร์นผักชี
เฟิร์นผักชี มีลำต้นเป็นเหง้าทอดยาว ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ก้านใบยาว 3-5 เซนติเมตร แผ่ออกเป็นครีบตลอดก้านใบ เส้นใบแตกปลายเปิด ด้านบนเป็นร่อง มีลักษณะคล้ายผักชี ชอบความชื้นปานกลางถึงสูง และชอบแสงแดดรำไร

วิธีปลูกและดูแลเฟิร์นให้เจริญเติบโตอย่างไรให้สมบูรณ์?
ปัจจัยสำคัญในการปลูกเฟิร์น
1. วัสดุปลูกที่เหมาะสม
เฟิร์นดิน นิยมใช้ดินตะกอนหรือดินร่วน 1 ส่วน ผสมกับทรายหยาบ 1 ส่วน และปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือใบไม้ผุอีก 4 ส่วน อัตราส่วนนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
เฟิร์นหิน ใช้วัสดุปลูกเช่นเดียวกับเฟิร์นดิน แต่ผสมกรวดหรืออิฐมอญทุบ ½-1 ส่วน และทรายหยาบอีก 1 ส่วน
เฟิร์นอิงอาศัย นิยมปลูกในกระเช้าไม้หรือกระถางกล้วยไม้ที่มีรูโดยรอบ ใช้กาบมะพร้าวสับหรือรากเฟิร์นชายผ้าสีดาสับ 3 ส่วน ผสมถ่านทุบขนาดเล็ก 1½ ส่วน และใบไม้ผุอีก 1½ ส่วน
2. แสงแดดที่เหมาะสม
เฟิร์นเติบโตได้ดีเมื่อได้รับแสงแดด 40-50% ไม่ควรวางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง ควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีร่มเงาจากไม้ใหญ่ หรือตามระเบียงบ้านที่แสงแดดไม่ส่องถึงโดยตรง สถานที่ที่เหมาะสมควรมีอุณหภูมิต่ำกว่า 21 องศาเซลเซียสเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี
3. การให้น้ำ
ในฤดูร้อนควรรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น ส่วนในฤดูหนาวและฤดูฝนอาจรดทุก 2 วัน สิ่งสำคัญคือต้องไม่ให้วัสดุปลูกแฉะเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อรา แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้แห้งจนใบเฟิร์นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งกรอบ
4. ความชื้นในอากาศ
เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการปลูกเฟิร์น พื้นที่ที่ปลูกควรมีความชื้นในอากาศ 60-80% ในตอนกลางวัน สามารถเพิ่มความชื้นโดยวางกระถางบนถาดกรวดที่มีน้ำ หรือใช้ระบบพ่นละอองหมอก ไม่ควรปลูกเฟิร์นในบริเวณที่มีลมแรงตลอดเวลาหรือเป็นแนวทางลม เพราะจะทำให้ทรงพุ่มไม่สวยงามและใบเหี่ยวได้ง่าย
5. ฤดูกาล
เฟิร์นเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน พอเข้าสู่ฤดูหนาวที่มีความชื้นในอากาศต่ำและอากาศเย็น ใบจะเหี่ยวแห้งได้ง่ายหรือชะลอการเติบโต
6. การใส่ปุ๋ย
เฟิร์นไม่ต้องการปุ๋ยมาก ควรให้แบบน้อยๆ แต่บ่อยๆ จะดีกว่า
ปุ๋ยอินทรีย์ จะปลอดภัยกับต้นเฟิร์น แต่ควรระวังเมล็ดวัชพืชและเชื้อราที่อาจติดมา ควรอบฆ่าเชื้อหรือตากแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้
ปุ๋ยเคมี สามารถใช้ปุ๋ยชนิดออสโมโค้ทประมาณ 1 ช้อนโต๊ะทุก 2-3 สัปดาห์ จะช่วยให้เฟิร์นเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกับเฟิร์นในกระถางเล็กที่ต้องการสารอาหารเพิ่มเติม
เทคนิคการปลูกเฟิร์นให้ใบยาวสวย
เพื่อให้เฟิร์นมีใบยาวสวยงาม ควรเลือกหน่อที่แข็งแรง มีใบยาวพอสมควร ปลูกในกระถางที่เหมาะสม ดินที่ใช้ควรเป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี รดน้ำสม่ำเสมอ ฉีดพ่นละอองน้ำเพื่อเพิ่มความชื้น และใส่ปุ๋ยบำรุงเป็นประจำ

วิธีขยายพันธุ์เฟิร์นทำได้อย่างไร?
การขยายพันธุ์เฟิร์นสามารถทำได้หลายวิธี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มจำนวนต้นเฟิร์นหรือแบ่งปันให้กับผู้อื่น วิธีที่นิยมมี 3 วิธีหลัก:
1. การเพาะสปอร์
เป็นวิธีธรรมชาติของเฟิร์น แต่ต้องใช้เวลาและความอดทนมาก มีขั้นตอนดังนี้:
- เก็บสปอร์จากใบเฟิร์นที่แก่และแห้ง สปอร์จะมีสีน้ำตาลแก่
- ตัดใบเฟิร์นเก็บไว้ในซองจดหมายหรือถุงพลาสติกเพื่อกันไม่ให้สปอร์ปลิวไป
- สปอร์จะแตกตัวภายใน 1-2 วัน หรือใช้มีดขูดออกก็ได้
- เตรียมวัสดุเพาะ เช่น ดินเหนียวหรือรากชายผ้าสีดาสับละเอียด (ดินเหนียวจะดีที่สุด)
- ควรฆ่าเชื้อในดินก่อนโดยคั่วในกระทะหรือใช้เตาอบ
- หว่านสปอร์ลงบนวัสดุเพาะ
- หลังจากประมาณ 1 เดือน จะเกิดโปรแธลเลียม (แผ่นบางๆ สีเขียวคล้ายรูปหัวใจ)
- แยกโปรแธลเลียมลงกระถางเพาะชำ ปิดด้วยกระจกหรือถุงพลาสติก
- ให้ความชื้นสม่ำเสมอ และรอจนเฟิร์นเกิดใบจริง
- ค่อยๆ เปิดปากถุงเล็กน้อยเพื่อให้เฟิร์นปรับตัวกับสภาพแวดล้อมภายนอก
- เมื่อต้นโตพอ จึงแยกไปปลูกในกระถางอื่น
2. การแยกเหง้า
เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วกว่าการเพาะสปอร์:
- เลือกเหง้าที่ค่อนข้างใหญ่และพร้อมที่จะเติบโตสร้างใบใหม่
- ใช้มีดคมตัดเหง้าให้ขาดในครั้งเดียว
- แซะเหง้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ดินที่หุ้มรากหลุดร่วง
- ตัดใบแก่ออกบ้างเพื่อลดการคายน้ำ
- ใช้ยากันเชื้อราทาบริเวณรอยแผล (ถ้ามี)
- ปลูกในดินที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่ร่มรำไร
3. การชำตา
เฟิร์นบางชนิดมีตาที่ใบ สามารถใช้วิธีนี้ได้:
- สังเกตตาที่เกิดบนใบ เช่น ในเฟิร์นหางนาคบก
- ตัดใบที่มีตาวางบนวัสดุปลูก
- ควบคุมความชื้นให้เหมาะสม
- รอจนตาเจริญเป็นต้นใหม่ แล้วแยกไปปลูก

ประโยชน์ด้านสุขภาพของเฟิร์นมีอะไรบ้าง?
เฟิร์นไม่เพียงแค่เป็นไม้ประดับสวยงาม แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ:
คุณค่าทางโภชนาการ
เฟิร์นบางชนิดที่กินได้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ในเฟิร์น 100 กรัมมี:
- คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม
- โปรตีน 4.6 กรัม
- ไขมัน 0.4 กรัม
- มีแคลอรี่เพียง 34 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม
สารที่มีประโยชน์ในเฟิร์น
ในเฟิร์นมีสารสำคัญหลายชนิด ทั้งในใบและเหง้า ได้แก่:
- แทนนิน
- ฟอสฟอรัส
- เหล็ก
- น้ำมันหอมระเหย
- สังกะสี
- วิตามิน A, B, C และ PP
- ซีลีเนียม
- แมกนีเซียม
- เบต้าแคโรทีน
คุณสมบัติทางยา
เฟิร์นหลายชนิดมีสรรพคุณทางยา ได้แก่:
- กระตุ้นความมีชีวิตชีวา
- ช่วยฟื้นฟูระดับน้ำตาลในเลือด
- ปรับปรุงองค์ประกอบของเลือด
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- รักษาเสถียรภาพการทำงานของต่อมไทรอยด์
- เสริมสร้างเนื้อเยื่อกระดูก
- กระตุ้นการเผาผลาญ
รากและเหง้าของเฟิร์นบางชนิดสามารถนำมาใช้เตรียมยาต้มหรือทิงเจอร์ที่มีผลดีต่อเนื้องอกต่างๆ ในร่างกาย เฟิร์นก้านดำมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการไอ ขับปัสสาวะ และลดกรดในกระเพาะ
สรุป
เฟิร์นเป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งเป็นไม้ประดับที่สวยงาม ช่วยฟอกอากาศ เพิ่มความชื้น และยังมีคุณสมบัติทางยา การปลูกและดูแลเฟิร์นไม่ยากหากเข้าใจธรรมชาติของมัน ต้องการแสงรำไร ความชื้นสูง และดินระบายน้ำดี สายพันธุ์เฟิร์นมีให้เลือกหลากหลาย แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์และความสวยงามเฉพาะตัว
การปลูกเฟิร์นในบ้านไม่เพียงช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่ แต่ยังมีส่วนช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ ลดความเครียด และสร้างบรรยากาศที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้เฟิร์นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในบ้าน
#สาระ #เฟิร์น #ต้นไม้ใบสวย #พืชฟอกอากาศ #ไม้ประดับในบ้าน #เฟิร์นบอสตัน #เฟิร์นข้าหลวง #สมุนไพร #สุขภาพ #ต้นไม้ตกแต่งบ้าน #ธรรมชาติในบ้าน