ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือที่หลายคนเรียกว่า “ภาษีคอนโด” เป็นเรื่องที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะการไม่เข้าใจหรือละเลยการชำระภาษีอาจนำมาซึ่งค่าปรับและปัญหาทางกฎหมายได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ดินและคอนโดอย่างละเอียด พร้อมอัพเดทข้อมูลล่าสุดของปี 2568 ที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ควรรู้

ภาษีที่ดินและคอนโดคืออะไร? ทำไมต้องเสีย?
ภาษีที่ดินและคอนโดที่เราพูดถึงกันนั้น คือ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ที่จัดเก็บเป็นรายปีตามราคาประเมินของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อนำรายได้ไปพัฒนาท้องถิ่นและลดการเก็งกำไรที่ดิน โดยเริ่มมีการบังคับใช้ในปี 2562 และเริ่มจัดเก็บภาษีตั้งแต่ปี 2563
น่าสนใจว่าในช่วงปี 2563-2564 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับลดการจัดเก็บภาษีลงถึง 90% เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้เสียภาษีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ได้มีการยกเลิกมาตรการปรับลดดังกล่าวและกลับมาจัดเก็บภาษีในอัตราปกติแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังคงมีการลดหย่อนภาษีในบางกรณีก็ตาม

ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีคอนโด? ผู้เช่าต้องจ่ายหรือไม่?
ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีคอนโด หรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงห้องชุดหรือคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะครอบครองเพื่อพักอาศัยหรือปล่อยเช่าก็ตาม
หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าเช่าคอนโดอยู่ จะต้องเสียภาษีคอนโดหรือไม่? คำตอบคือไม่ต้องเสีย เพราะหน้าที่ในการชำระภาษีเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ให้เช่านั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าควรคำนึงไว้ด้วยว่า หากเจ้าของคอนโดมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้มีการปรับขึ้นค่าเช่าได้ในอนาคต

อัตราภาษีคอนโดปี 2568 เปลี่ยนแปลงอย่างไร?
อัตราภาษีคอนโดในปี 2568 ยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดตั้งแต่ปี 2565 โดยแบ่งตามประเภทการใช้งานและมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นกรณีต่างๆ ดังนี้
กรณีคอนโดหลังแรก (มีชื่อในทะเบียนบ้าน)
สำหรับเจ้าของคอนโดมิเนียมหลังแรกที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน อัตราภาษีจะเป็นแบบขั้นบันไดดังนี้:
- มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
- มูลค่าเกิน 50 ล้าน แต่ไม่เกิน 75 ล้านบาท: เสียภาษี 0.03%
- มูลค่าเกิน 75 ล้าน แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.05%
- มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.10%
กรณีเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง (มีชื่อในทะเบียนบ้าน)
หากเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง (ไม่รวมที่ดิน) และมีชื่อในทะเบียนบ้าน อัตราภาษีจะเป็นแบบขั้นบันไดดังนี้:
- มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
- มูลค่าเกิน 10 ล้าน แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท: เสียภาษี 0.02%
- มูลค่าเกิน 50 ล้าน แต่ไม่เกิน 75 ล้านบาท: เสียภาษี 0.03%
- มูลค่าเกิน 75 ล้าน แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.05%
- มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.10%
กรณีคอนโดหลังที่สองเป็นต้นไป
สำหรับคอนโดหลังที่สองเป็นต้นไป (ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน) อัตราภาษีจะเป็นดังนี้:
- มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท: เสียภาษี 0.02%
- มูลค่าเกิน 50 ล้าน แต่ไม่เกิน 75 ล้านบาท: เสียภาษี 0.03%
- มูลค่าเกิน 75 ล้าน แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.05%
- มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท: เสียภาษี 0.10%
กรณีคอนโดเชิงพาณิชย์
หากใช้คอนโดในเชิงพาณิชย์ เช่น ปล่อยเช่ารายวัน อัตราภาษีจะสูงกว่าดังนี้:
- มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท: เสียภาษี 0.3%
- มูลค่าเกิน 50 ล้าน แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท: เสียภาษี 0.4%
- มูลค่าเกิน 200 ล้าน แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท: เสียภาษี 0.5%
- มูลค่าเกิน 1,000 ล้าน แต่ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท: เสียภาษี 0.6%
- มูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท: เสียภาษี 0.7%
สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันกรมที่ดินมีนโยบายให้คอนโดที่ปล่อยเช่ารายเดือนหรือรายปีถือเป็นคอนโดประเภทที่อยู่อาศัย และเก็บภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย แต่หากปล่อยเช่ารายวันจะถือเป็นเชิงพาณิชย์และเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า

คำนวณภาษีคอนโดอย่างไร? 3 ขั้นตอนที่เจ้าของต้องรู้
การคำนวณภาษีคอนโดอาจดูซับซ้อน แต่สามารถทำได้ง่ายด้วย 3 ขั้นตอนต่อไปนี้:
1. ตรวจสอบราคาประเมิน
ก่อนอื่นต้องรู้ราคาประเมินของคอนโดก่อน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ประเมินราคาของกรมที่ดิน โดยราคาประเมินนี้จะเป็นฐานในการคำนวณภาษี ไม่ใช่ราคาซื้อขายจริง และมักจะไม่เท่ากับราคาที่ซื้อขายจริงในท้องตลาด
2. ตรวจสอบประเภทและอัตราภาษี
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจสอบว่าคอนโดของคุณอยู่ในประเภทใด เช่น คอนโดหลังแรก คอนโดหลังที่สอง หรือคอนโดเชิงพาณิชย์ และเลือกอัตราภาษีให้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้า
3. คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
เมื่อทราบราคาประเมินและอัตราภาษีแล้ว ก็สามารถคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายได้โดยใช้สูตร:
ภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี = (มูลค่าราคาประเมิน – มูลค่ายกเว้น ถ้ามี) × อัตราภาษี
หมายเหตุ: มูลค่ายกเว้น คือ 10 ล้านบาทแรกสำหรับเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง หรือ 50 ล้านบาทแรกสำหรับเจ้าของทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (เฉพาะคอนโดหลังแรกเท่านั้น)
ตัวอย่างการคำนวณ:
- คอนโดหลังแรก มูลค่า 65 ล้านบาท: (65,000,000 – 50,000,000) × 0.03% = 4,500 บาทต่อปี
- คอนโดหลังที่สอง มูลค่า 65 ล้านบาท: 65,000,000 × 0.03% = 19,500 บาทต่อปี
- คอนโดราคา 30 ล้านบาท (เจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง): (30,000,000 – 10,000,000) × 0.02% = 4,000 บาทต่อปี

เสียภาษีคอนโดที่ไหน? เมื่อไหร่? มีทางเลือกอะไรบ้าง?
เมื่อถึงเวลาที่ต้องชำระภาษีคอนโด เจ้าของกรรมสิทธิ์จะได้รับหนังสือแจ้งประเมินภาษีประจำปี (ภ.ด.ส.6) ที่ระบุรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์และจำนวนภาษีที่ต้องชำระ โดยสามารถเลือกชำระได้ 2 ช่องทาง:
ช่องทางการชำระภาษีคอนโด
- ชำระที่สำนักงาน: สามารถเดินทางไปชำระด้วยตนเองได้ที่
- กรุงเทพฯ: ชำระที่สำนักงานเขตที่ดิน
- ต่างจังหวัด: ชำระที่สำนักงานเทศบาลหรือจุดบริการที่สำนักงานเทศบาลจัดไว้
- พัทยา: ชำระที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
- ชำระผ่านแอปพลิเคชัน: หากไม่สะดวกเดินทาง สามารถชำระผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking ด้วยการสแกน QR Code ที่แนบมากับหนังสือแจ้งประเมินภาษี
กำหนดเวลาชำระภาษี
โดยปกติแล้ว ภาษีที่ดินและคอนโดจะต้องชำระเป็นรายปี ดังนี้:
- จะได้รับหนังสือแจ้งภาษีในเดือนกุมภาพันธ์
- ต้องชำระภายในเดือนเมษายน
- สามารถขอผ่อนชำระเป็น 3 งวดได้ คือ เมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม กำหนดเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ดังนั้นควรติดตามประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ

ไม่จ่ายภาษีคอนโดจะเกิดอะไรขึ้น? ค่าปรับและบทลงโทษที่ควรระวัง
การไม่ชำระภาษีที่ดินและคอนโดตามกำหนดเวลาจะนำมาซึ่งบทลงโทษและค่าปรับ ดังนี้:
- ไม่ชำระตามกำหนด แต่ชำระก่อนได้รับหนังสือแจ้งเตือน: ปรับ 10%
- ชำระหลังได้รับหนังสือแจ้งเตือน แต่ภายในระยะเวลาที่กำหนด: ปรับ 20%
- ชำระหลังพ้นระยะเวลาที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือน: ปรับ 40%
- เสียภาษีเพิ่มเติม: 1% ต่อเดือนของภาษีที่ค้างชำระ
นอกจากค่าปรับแล้ว หากยังคงค้างชำระภาษีอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ถูกระงับสิทธิในการจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือในกรณีร้ายแรงอาจถูกระงับสิทธิครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ ได้
ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีที่ดินและคอนโดที่เจ้าของควรทราบ
นอกจากข้อมูลข้างต้นแล้ว ยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เจ้าของคอนโดควรรู้ ได้แก่:
- การอุทธรณ์การประเมิน: หากไม่เห็นด้วยกับการประเมินประเภทอสังหาริมทรัพย์หรือการประเมินภาษี สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อผู้บริหารท้องถิ่นได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งภาษี
- การแจ้งเท็จ: หากมีการแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท
- กรณีไม่ได้รับหนังสือแจ้งภาษี: หากไม่ได้รับหนังสือแจ้งภาษี ควรติดต่อองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเร็ว เพื่อป้องกันการเกิดค่าปรับจากการชำระล่าช้า
- การเปลี่ยนแปลงนโยบาย: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายภาษีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
สรุป
การเป็นเจ้าของคอนโดหรืออสังหาริมทรัพย์นั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทและมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของคอนโดหลังแรกที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะได้รับการยกเว้นภาษี ในขณะที่คอนโดหลังที่สองขึ้นไปหรือคอนโดที่มีมูลค่าสูงกว่านั้นจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนด
การคำนวณภาษีคอนโดสามารถทำได้โดยตรวจสอบราคาประเมิน ระบุประเภทการใช้งาน และคำนวณตามสูตรที่กำหนด หากไม่ชำระภาษีตามกำหนดเวลา จะมีค่าปรับตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 40% รวมถึงอาจมีบทลงโทษอื่นๆ ตามมา
สำหรับเจ้าของคอนโดทุกท่าน การทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษี
#สาระ #การเงิน #ภาษีคอนโด #ภาษีที่ดิน #ภาษีสิ่งปลูกสร้าง #คำนวณภาษี #อสังหาริมทรัพย์ #กฎหมายภาษี