การเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในบ้านเดียวกันนั้นสร้างความสุขและเติมเต็มชีวิตครอบครัวได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว นก กระต่าย หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ต่างก็มีเสน่ห์และความน่ารักแตกต่างกันไป แต่การอยู่ร่วมกันของสัตว์เลี้ยงหลายชนิดนั้นอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านสุขภาพที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ โรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยง
โรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้าน บางโรคสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย การสูญเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก
นอกจากนี้ โรคบางชนิดยังสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวด้วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคติดต่อที่พบบ่อยระหว่างสัตว์เลี้ยง วิธีสังเกตอาการ และที่สำคัญที่สุดคือ แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและสุขภาพแข็งแรง
โรคติดต่อที่พบบ่อยระหว่างสัตว์เลี้ยง
1. โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)
โรคไข้หัดสุนัขเป็นโรคไวรัสร้ายแรงที่พบในสุนัข แต่สามารถติดต่อไปยังสัตว์ในตระกูลเดียวกันได้ เช่น หมาป่า สุนัขจิ้งจอก และเฟอร์เรต โรคนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือการหายใจเอาละอองฝอยจากสัตว์ที่ติดเชื้อ
อาการ: เริ่มจากไข้สูง ซึม เบื่ออาหาร ตาแดง น้ำมูกน้ำตาไหล ไอ อาเจียน ท้องเสีย และหากรุนแรงอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก กล้ามเนื้อกระตุก พฤติกรรมผิดปกติ
การป้องกัน: การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัขตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์กำหนดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยลูกสุนัขควรได้รับวัคซีนครั้งแรกเมื่ออายุ 6-8 สัปดาห์ และฉีดกระตุ้นทุก 3-4 สัปดาห์จนอายุ 16 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ฉีดกระตุ้นทุก 1-3 ปีตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
2. โรคลิวคีเมียในแมว (Feline Leukemia Virus – FeLV)
โรคลิวคีเมียในแมวเกิดจากเชื้อไวรัส FeLV ที่สามารถแพร่กระจายจากแมวสู่แมวผ่านการสัมผัสน้ำลาย การกัด การเลียขนกัน หรือการใช้ภาชนะอาหารและน้ำร่วมกัน โรคนี้ทำให้ภูมิคุ้มกันของแมวลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือด
อาการ: แมวที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรคลุกลามอาจพบอาการซีด ผอมลง เบื่ออาหาร มีไข้ เหงือกซีด ต่อมน้ำเหลืองโต ติดเชื้อซ้ำซาก และอ่อนแรง
การป้องกัน: ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียให้แมวตั้งแต่อายุ 8-9 สัปดาห์ และฉีดกระตุ้นตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ควรตรวจเลือดแมวก่อนนำเข้าบ้านเพื่อคัดกรองโรคนี้ แยกแมวที่ป่วยออกจากแมวตัวอื่น และไม่ควรให้แมวออกไปเพ่นพ่านนอกบ้านเพื่อลดโอกาสสัมผัสกับแมวที่อาจมีเชื้อ
3. โรคพาร์โวไวรัสในสุนัข (Canine Parvovirus)
โรคพาร์โวไวรัสเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงและพบบ่อยในลูกสุนัข เชื้อไวรัสนี้ทนทานมากในสิ่งแวดล้อม สามารถอยู่ในดิน พื้นบ้าน หรือพื้นผิวต่างๆ ได้นานถึง 1 ปี และแพร่กระจายผ่านการสัมผัสอุจจาระของสุนัขที่ติดเชื้อ
อาการ: อาเจียนรุนแรง อุจจาระเป็นเลือด ท้องเสียน้ำมาก เบื่ออาหาร ซึม อ่อนเพลียอย่างมาก ไข้สูง ขาดน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ภายใน 48-72 ชั่วโมงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การป้องกัน: ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพาร์โวไวรัสให้สุนัขตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์กำหนด โดยลูกสุนัขควรเริ่มฉีดเมื่ออายุ 6-8 สัปดาห์ และฉีดกระตุ้นทุก 3-4 สัปดาห์จนอายุ 16 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการพาลูกสุนัขที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบไปในที่สาธารณะ และทำความสะอาดพื้นที่ที่สุนัขป่วยเคยอยู่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม
4. โรคแคลิไซไวรัสในแมว (Feline Calicivirus)
โรคแคลิไซไวรัสเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนในแมว เชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากจมูกและตาของแมวที่ติดเชื้อ หรือการหายใจเอาละอองฝอยจากการไอหรือจาม
อาการ: จามบ่อย น้ำมูกน้ำตาไหล ตาแดง มีแผลในปากและที่ลิ้น น้ำลายไหลมาก เบื่ออาหารเพราะเจ็บปาก ไข้ และบางกรณีอาจมีอาการปวดข้อ เดินกะเผลกได้
การป้องกัน: ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดแมวซึ่งครอบคลุมโรคแคลิไซไวรัสตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์กำหนด แยกแมวที่ป่วยออกจากแมวตัวอื่น และทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ของแมวอย่างสม่ำเสมอ
5. โรคเห็บและหมัด (Ticks and Fleas)
เห็บและหมัดไม่เพียงเป็นปรสิตภายนอกที่ก่อความรำคาญ แต่ยังเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคไข้เลือดออกในสุนัข (Ehrlichiosis) โรคไข้รากสาดใหญ่ (Rickettsiosis) โรคไข้คิว (Q Fever) และโรคไข้รากสาดทุ่งหญ้า (Rocky Mountain Spotted Fever) ปรสิตเหล่านี้สามารถกระโดดจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งได้โดยง่าย
อาการ: สัตว์เลี้ยงที่มีเห็บหรือหมัดจะมีอาการคันและเกาบ่อย อาจพบรอยแดง ผื่นคัน ขนร่วง และในกรณีที่มีปรสิตจำนวนมากอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ซูบผอม หรือแพ้หมัดอย่างรุนแรงได้
การป้องกัน: ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเห็บและหมัดกับสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านอย่างสม่ำเสมอ มีทั้งชนิดหยดหลัง ชนิดรับประทาน และปลอกคอ ซึ่งควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิด ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ ซักทำความสะอาดที่นอนและผ้าปูที่นอนของสัตว์เลี้ยงด้วยน้ำร้อน ดูแลสนามหญ้าให้สะอาด ตัดหญ้าสั้น และลดพื้นที่ชื้นแฉะที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของปรสิต
วิธีป้องกันโรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยง
1. การฉีดวัคซีนตามกำหนด
การฉีดวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์กำหนดเป็นวิธีการป้องกันโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพที่สุด วัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายของสัตว์เลี้ยงสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคชนิดต่างๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคหากมีการติดเชื้อ
สำหรับสุนัข วัคซีนที่จำเป็น ได้แก่:
- วัคซีนรวม 5 โรค หรือ 6 โรค (ป้องกันโรคไข้หัดสุนัข, โรคตับอักเสบติดต่อ, โรคพาร์โวไวรัส, โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ และโรคเลปโตสไปโรซิส)
- วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
สำหรับแมว วัคซีนที่จำเป็น ได้แก่:
- วัคซีนรวม 3 โรค หรือ 4 โรค (ป้องกันโรคแคลิไซไวรัส, โรคไรโนเทรเคียล และโรคพานลิวโคพีเนีย)
- วัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมีย (FeLV) สำหรับแมวที่มีความเสี่ยง
- วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนตามกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยลูกสัตว์จะเริ่มได้รับวัคซีนเมื่ออายุประมาณ 6-8 สัปดาห์ และฉีดกระตุ้นเป็นระยะตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
2. การกักโรคสัตว์เลี้ยงใหม่
เมื่อนำสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เข้ามาในบ้าน ควรกักแยกออกจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ การกักโรคนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
- สังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงใหม่ว่ามีสัญญาณของโรคหรือไม่
- ให้เวลาสัตว์เลี้ยงใหม่ในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่โดยไม่ต้องเผชิญความเครียดจากการเจอสัตว์ตัวอื่น
- ป้องกันการแพร่กระจายโรคหากสัตว์เลี้ยงใหม่มีเชื้อโรคติดตัวมา
ระหว่างช่วงกักโรค ควรจัดพื้นที่แยกสำหรับสัตว์เลี้ยงใหม่ มีอุปกรณ์เฉพาะไม่ปะปนกับสัตว์ตัวอื่น เช่น ชามอาหาร ชามน้ำ ที่นอน กระบะทราย และของเล่น ควรล้างมือหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงใหม่ทุกครั้งก่อนไปสัมผัสสัตว์เลี้ยงตัวอื่น และควรพาสัตว์เลี้ยงใหม่ไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด
3. การควบคุมปรสิตภายนอกและภายใน
ปรสิตเป็นพาหะสำคัญในการแพร่กระจายโรคระหว่างสัตว์เลี้ยง จึงควรควบคุมปรสิตทั้งภายนอกและภายในอย่างสม่ำเสมอ:
ปรสิตภายนอก (เห็บ หมัด ไร เหา):
- ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดปรสิตภายนอกกับสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้าน โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับชนิด อายุ และขนาดของสัตว์เลี้ยง
- ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ ดูดฝุ่น ซักทำความสะอาดที่นอนและเครื่องนอนของสัตว์เลี้ยงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ตรวจสอบขนและผิวหนังของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ หากพบปรสิตให้กำจัดทันที
ปรสิตภายใน (พยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืด พยาธิหัวใจ):
- ถ่ายพยาธิให้สัตว์เลี้ยงตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์แนะนำ โดยทั่วไปลูกสัตว์ควรถ่ายพยาธิทุก 2-3 สัปดาห์จนอายุ 3 เดือน และหลังจากนั้นทุก 3-6 เดือนในสัตว์โตเต็มวัย
- ให้ยาป้องกันพยาธิหัวใจในสุนัขเป็นประจำทุกเดือน
- เก็บอุจจาระของสัตว์เลี้ยงและทิ้งในถังขยะที่มิดชิดทันที ไม่ปล่อยให้มีอุจจาระตกค้างในบริเวณที่สัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่
4. การรักษาสุขอนามัยในบ้าน
สภาพแวดล้อมที่สะอาดช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคระหว่างสัตว์เลี้ยงได้อย่างมาก ควรปฏิบัติดังนี้:
- ทำความสะอาดพื้นบ้านเป็นประจำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะบริเวณที่สัตว์เลี้ยงใช้ร่วมกัน
- ล้างชามอาหารและชามน้ำของสัตว์เลี้ยงทุกวันด้วยสบู่และน้ำอุ่น
- ทำความสะอาดกรงนก กรงกระต่าย หรือทรายแมวทุกวัน และเปลี่ยนวัสดุรองกรงหรือทรายแมวตามความเหมาะสม
- ซักทำความสะอาดที่นอน ผ้าปู และเครื่องนอนของสัตว์เลี้ยงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ด้วยน้ำร้อนและผงซักฟอกที่ไม่มีกลิ่นฉุน
- ทำความสะอาดของเล่นและอุปกรณ์ต่างๆ ของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ
- เช็ดเท้าสัตว์เลี้ยงให้สะอาดหลังจากพาออกไปเดินนอกบ้าน
5. การแยกสัตว์เลี้ยงที่ป่วย
เมื่อพบว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วย ควรแยกออกจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่นทันที เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยการแยกสัตว์ที่ป่วยควรทำดังนี้:
- จัดพื้นที่เฉพาะสำหรับสัตว์ที่ป่วย ในห้องที่เงียบสงบ อบอุ่น และปลอดโปร่ง
- ใช้อุปกรณ์แยกเฉพาะสำหรับสัตว์ที่ป่วย และทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านั้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังใช้งานทุกครั้ง
- สวมถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสัตว์ที่ป่วยหรืออุปกรณ์ของมัน
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่นหลังจากดูแลสัตว์ที่ป่วยเสมอ ก่อนไปสัมผัสสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
- พาสัตว์ที่ป่วยไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด
6. การเลือกอาหารที่มีคุณภาพ
อาหารที่มีคุณภาพดีช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยง ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีขึ้น ควรเลือกอาหารตามหลักการดังนี้:
- เลือกอาหารที่เหมาะสมกับชนิด อายุ ขนาด และสภาวะสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
- อ่านฉลากส่วนประกอบและเลือกอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารกันบูด สี และสารปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น
- ให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- เปลี่ยนอาหารใหม่ตามวันหมดอายุ และล้างภาชนะใส่อาหารทุกวัน
- เก็บอาหารในที่แห้ง เย็น ป้องกันความชื้นและแมลง
อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนจะช่วยให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดี ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดต่อต่างๆ หากสัตว์เลี้ยงมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ก็จะมีโอกาสติดเชื้อน้อยลงและหากติดเชื้อก็จะมีอาการไม่รุนแรง
7. การตรวจสุขภาพประจำปี
การพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพประจำปีกับสัตวแพทย์เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อ เพราะสัตวแพทย์จะสามารถตรวจพบความผิดปกติหรือโรคในระยะเริ่มต้นที่เจ้าของอาจไม่สังเกตเห็น การตรวจสุขภาพประจำปีควรประกอบด้วย:
- การตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจฟัน ตา หู ขน ผิวหนัง และอวัยวะภายใน
- การตรวจปรสิตภายนอกและภายใน
- การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต
- การฉีดวัคซีนกระตุ้นตามกำหนด
- การปรึกษาเรื่องอาหาร การดูแล และการป้องกันโรค
สัตวแพทย์จะให้คำแนะนำเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว รวมถึงการปรับเปลี่ยนการดูแลตามอายุและสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป การพบสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เจ้าของมีความรู้และทักษะในการสังเกตอาการผิดปกติของสัตว์เลี้ยงได้ดีขึ้น
8. การจำกัดการสัมผัสกับสัตว์ภายนอก
การจำกัดการสัมผัสระหว่างสัตว์เลี้ยงของคุณกับสัตว์ภายนอกที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพเป็นวิธีการป้องกันโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติดังนี้:
- ไม่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงออกนอกบ้านโดยไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะแมว
- เมื่อพาสุนัขออกไปเดินเล่น ควรใช้สายจูงและหลีกเลี่ยงการให้สุนัขสัมผัสกับสุนัขที่ไม่รู้จักหรืออุจจาระของสุนัขอื่น
- หลีกเลี่ยงการพาสัตว์เลี้ยงไปในสถานที่ที่มีสัตว์รวมตัวกันจำนวนมาก เช่น สวนสาธารณะสำหรับสุนัข หากสัตว์เลี้ยงยังไม่ได้รับวัคซีนครบหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ
- กรณีที่ต้องฝากสัตว์เลี้ยงไว้ที่โรงแรมสัตว์เลี้ยง ควรเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยและมีการคัดกรองประวัติการฉีดวัคซีนของสัตว์เลี้ยงทุกตัวที่เข้าพัก
9. การให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัว
การป้องกันโรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทุกคนในครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจตรงกัน จึงควรให้ความรู้แก่สมาชิกทุกคนเกี่ยวกับ:
- วิธีการสังเกตอาการผิดปกติของสัตว์เลี้ยง
- การล้างมือหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว
- การดูแลความสะอาดของอุปกรณ์และพื้นที่ของสัตว์เลี้ยง
- การจัดการกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วย
- ความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ควรสอนให้เด็กเข้าใจวิธีการสัมผัสและเล่นกับสัตว์เลี้ยงอย่างถูกต้อง รวมถึงความสำคัญของการล้างมือหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยง การไม่แหย่หรือรบกวนสัตว์เลี้ยงที่กำลังป่วย และการแจ้งผู้ใหญ่เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ
การสังเกตอาการผิดปกติในสัตว์เลี้ยง
การสังเกตอาการผิดปกติในสัตว์เลี้ยงแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อ เจ้าของควรหมั่นสังเกตสัญญาณต่อไปนี้ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าสัตว์เลี้ยงกำลังป่วย:
อาการทั่วไปที่ควรสังเกต
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน
- กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินเลย
- ดื่มน้ำมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วไป
- ซึม ไม่มีแรง นอนมากกว่าปกติ
- ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมที่เคยชอบ
- หงุดหงิด ก้าวร้าวผิดปกติ
- เคลื่อนไหวน้อยลง หรือไม่ยอมเดิน
- ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
- ไอ จาม
- หายใจลำบาก หายใจเร็ว หรือหอบ
- น้ำมูกไหล มีเสมหะ
- ปัญหาระบบทางเดินอาหาร
- อาเจียน
- ท้องเสีย หรืออุจจาระมีเลือดปน
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ปัญหาผิวหนังและขน
- ขนร่วงผิดปกติ ขนหยาบกร้าน ไม่เป็นมัน
- ผิวหนังอักเสบ เป็นแผล หรือมีตุ่ม
- เกาตัวมากผิดปกติ
- มีปรสิตภายนอก เช่น เห็บ หมัด
- ปัญหาช่องปากและฟัน
- กลิ่นปากแรงผิดปกติ
- น้ำลายไหลมาก
- เหงือกซีดหรือแดงอักเสบ
- ปัญหาตาและหู
- ตาแดง มีขี้ตามาก น้ำตาไหล
- ม่านตาขุ่น หรือเปลี่ยนสี
- หูแดง มีกลิ่นเหม็น หรือมีสิ่งคัดหลั่ง
- การเปลี่ยนแปลงของปัสสาวะและอุจจาระ
- ปัสสาวะบ่อยหรือน้อยกว่าปกติ
- ปัสสาวะมีเลือดปน หรือมีสีผิดปกติ
- ถ่ายอุจจาระลำบาก หรือไม่ถ่ายเลย
หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรแยกสัตว์เลี้ยงออกจากสัตว์ตัวอื่นทันที และพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด การวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการแพร่กระจายไปยังสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
การป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis)
นอกจากโรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงด้วยกันแล้ว โรคบางชนิดยังสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ เรียกว่า “โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน” หรือ “Zoonosis” ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้:
- การล้างมือ
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่นทุกครั้งหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะหลังทำความสะอาดกรงหรือกระบะทราย
- สอนเด็กๆ ให้ล้างมือหลังเล่นกับสัตว์เลี้ยงทุกครั้ง
- การเก็บและกำจัดอุจจาระ
- เก็บอุจจาระของสัตว์เลี้ยงและทิ้งในถังขยะที่มิดชิดทันที
- สวมถุงมือเมื่อต้องทำความสะอาดอุจจาระหรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยง
- การควบคุมปรสิต
- ถ่ายพยาธิให้สัตว์เลี้ยงตามกำหนด
- ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเห็บและหมัดอย่างสม่ำเสมอ
- การดูแลบาดแผล
- หากถูกสัตว์เลี้ยงข่วนหรือกัด ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที ตามด้วยการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- หากเป็นแผลลึก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สัตว์เลี้ยงตามกำหนด
- หากถูกสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติกัด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- ข้อควรระวังสำหรับกลุ่มเสี่ยง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระของสัตว์เลี้ยง
- ควรให้ผู้อื่นที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงเป็นผู้ทำความสะอาดกระบะทรายแมวแทน โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อท็อกโซพลาสม่า
สรุป
การป้องกันโรคติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงเป็นความรับผิดชอบสำคัญของเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคน การดูแลสุขภาพที่ดีไม่เพียงช่วยปกป้องสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว แต่ยังช่วยปกป้องสุขภาพของสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านและสมาชิกในครอบครัวด้วย
มาตรการป้องกันที่สำคัญประกอบด้วย การฉีดวัคซีนตามกำหนด การกักโรคสัตว์เลี้ยงใหม่ การควบคุมปรสิต การรักษาสุขอนามัยในบ้าน การแยกสัตว์ที่ป่วย การเลือกอาหารคุณภาพดี การตรวจสุขภาพประจำปี การจำกัดการสัมผัสกับสัตว์ภายนอก และการให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัว
การสังเกตอาการผิดปกติของสัตว์เลี้ยงและพาไปพบสัตวแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อโรค และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยง คุณจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีความสุขสำหรับสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้าน ให้พวกเขาได้เติบโตและใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี เป็นเพื่อนคู่ใจของคุณไปอีกยาวนาน
#สัตว์เลี้ยง #สาระ #โรคติดต่อในสัตว์เลี้ยง #การป้องกันโรคสัตว์เลี้ยง #วัคซีนสัตว์เลี้ยง #สุขภาพสัตว์เลี้ยง #การดูแลสัตว์เลี้ยง #โรคหมา #โรคแมว #โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน #พาร์โวไวรัส #ไข้หัดสุนัข #เห็บหมัด #การเลี้ยงสัตว์หลายชนิด #สัตวแพทย์ #สัตว์เลี้ยงปลอดโรค #ภูมิคุ้มกันสัตว์เลี้ยง