
ทำไมต้องปลูกผักในร่ม?
ในปัจจุบัน หลายคนอาศัยอยู่ในพื้นที่จำกัด เช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ หรือบ้านที่มีพื้นที่นอกอาคารน้อย ทำให้การปลูกผักกลางแจ้งเป็นเรื่องยาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองได้ เพราะมีผักหลายชนิดที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในร่ม หรือในพื้นที่ที่มีแสงแดดน้อย การปลูกผักในร่มยังช่วยให้คุณมีผักสด ปลอดสารพิษไว้รับประทานเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย และยังเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้านอีกด้วย

7 ชนิดผักที่ปลูกในร่มได้ดี
1. ผักชี – เครื่องเทศหอมที่ปลูกง่าย
ผักชีเป็นผักที่ชอบอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำและไม่ชอบแสงแดดจัดโดยตรง คุณสามารถวางกระถางผักชีไว้ใกล้หน้าต่างที่หันไปทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก เพื่อให้ได้รับแสงแดดอ่อนๆ ผักชีเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินร่วนหรือกาบมะพร้าว
วิธีปลูกผักชีเริ่มจากการบดเมล็ดให้แตกเป็น 2 ซีก แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปคลุกกับทรายหรือขี้เถ้า เมื่อเริ่มมีรากค่อยย้ายไปปลูกในกระถาง คลุมหน้าดินด้วยฟางหรือหญ้า รดน้ำให้ชุ่ม ใช้เวลาในการปลูกประมาณ 30-45 วัน จึงสามารถเก็บผักชีมารับประทานได้
2. ต้นหอม – ผักที่ปลูกได้ตลอดปี
ต้นหอมเป็นผักที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ขนาดของลำต้นและความกว้างของใบจะขึ้นอยู่กับการดูแลและวัสดุที่นำมาปลูก คุณสามารถวางกระถางต้นหอมไว้ใกล้หน้าต่างที่อยู่ทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก โดยควรให้ได้รับแสงแดดบ้างอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงต่อวัน
ต้นหอมเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นสูง นิยมเพาะด้วยการปักชำ โดยเริ่มจากตัดต้นหอมเหนือราก 1.5-2 นิ้ว แล้วปักชำลงไปในดินผสมเปลือกถั่วลิสงบด แต่ละต้นควรปลูกให้ห่างกันอย่างน้อย 2 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 45 วันจึงจะเก็บกินได้
3. ขิง – สมุนไพรที่ปลูกได้ทุกจุด
ขิงสามารถปลูกได้ทุกจุด ยกเว้นพื้นที่ที่มีความร้อนสูงหรือโดนแดดโดยตรง ขิงจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มหรือที่อุณหภูมิประมาณ 21 องศาเซลเซียส การปลูกขิงควรใช้เหง้าหรือขิงแก่อายุประมาณ 10-12 เดือน นำมาผึ่งลมให้แห้ง แล้วหั่นเป็นท่อนความยาวประมาณ 2 นิ้ว
แต่ละท่อนควรมีตาติดอยู่ประมาณ 2-3 ตา แล้วปักลงไปในดินผสมปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือกากถั่ว เพื่อให้ดินโปร่ง ควรเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี เพราะจะทำให้รากเน่า เมื่ออายุได้ 2 เดือนให้ใส่ปุ๋ยคอกและกลบดินที่โคน จากนั้นอีก 1 เดือนค่อยกลบโคนอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ขิงแตกหน่อ
4. บล็อกโคลี – ผักมีประโยชน์ที่ต้องการแสงบ้าง
บล็อกโคลีเป็นผักที่แม้จะชอบที่ร่มแต่ก็ควรได้รับแสงแดดบ้าง ควรวางไว้ในจุดที่มีแสงแดดบ้าง หรือได้รับแสงแดดอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงต่อวัน บล็อกโคลีเจริญเติบโตได้ดีในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี เช่น ดินร่วนปนทราย
การเพาะพันธุ์บล็อกโคลีทำได้โดยนำต้นกล้ามาปลูกในดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม สัปดาห์แรกควรรดน้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มเป็นวันเว้นวัน หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อเริ่มออกดอกให้เปลี่ยนเป็นรดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวัน หมั่นตัดแต่งใบทุก ๆ 10 วัน ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะเก็บดอกกินได้
5. แครอต – ผักสีสันสดใสที่เติบโตในร่ม
แครอตเป็นผักที่สามารถเจริญเติบโตได้ในที่ร่ม แต่หากเพาะด้วยเมล็ด ช่วงแรก ๆ หลังหว่านเมล็ดควรวางกระถางไว้ในที่ที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมงต่อวัน และต้องหมั่นย้ายกระถาง ดินที่จะนำมาปลูกควรใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยหมักชีวภาพและแกลบดำ
ในดินไม่ควรมีกรวด หิน หรือเศษไม้ เพราะจะทำให้แครอตงอ เมื่อปลูกเสร็จแล้วควรคลุมด้วยฟาง และรดน้ำให้ชุ่ม แครอตเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น สามารถปลูกในดินที่ชุ่มชื้น เพื่อไม่ให้รากแห้งและแตก
6. ขึ้นฉ่าย – ผักที่ชอบอากาศเย็น
ขึ้นฉ่ายจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศเย็นหรือบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาถ้าปลูกขึ้นฉ่ายในฤดูร้อน หากนำไปวางในที่ร่มและมีความชื้นสูง นอกจากนี้ขึ้นฉ่ายยังชอบดินที่มีความชื้นสูงแต่ไม่แฉะ
การเพาะขึ้นฉ่ายทำได้โดยนำเมล็ดผสมกับทรายก่อนฝังลงในดิน แต่ละต้นควรปลูกให้ห่างกัน 2-3 นิ้ว เพื่อความสะดวกในการถอนแยก ใช้ฟางคลุมหน้าดิน ประมาณ 3 สัปดาห์ ค่อยนำออก หมั่นรดน้ำทั้งเช้าและเย็น และเริ่มใส่ปุ๋ยบำรุงเมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 10-15 วัน
7. ผักกาดหอม – ผักที่ชอบอากาศเย็นและที่ร่ม
ผักกาดหอมเป็นผักที่ชอบอากาศเย็นและที่ร่ม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินร่วน การเพาะผักกาดหอมทำได้ด้วยเมล็ด โดยเริ่มจากตากดินก่อนปลูกประมาณ 7-10 วัน แล้วนำมาผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก จากนั้นโรยเมล็ดลงไป
เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกต้นที่อ่อนแอทิ้ง และถอนแยกครั้งสุดท้ายเมื่อผักกาดหอมมีอายุได้ประมาณ 3 สัปดาห์ หมั่นรดน้ำทั้งเช้าและเย็น แต่ควรระวังไม่ให้น้ำเข้าปลี การเก็บเกี่ยวให้ตัดใบจากโคนไล่ขึ้นมา เพื่อให้ปลายแตกยอดต่อไปได้อีก

เทคนิคการดูแลผักในร่ม
การเลือกพื้นที่ปลูก
แม้จะเป็นผักที่ปลูกในร่ม แต่ก็ยังต้องการแสงแดดบ้างเล็กน้อย ควรเลือกพื้นที่ใกล้หน้าต่างที่มีแสงส่องผ่านได้บ้าง โดยเฉพาะหน้าต่างทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก หากบ้านคุณมีแสงน้อยมาก อาจพิจารณาใช้ไฟ LED สำหรับปลูกพืชโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยเลียนแบบแสงธรรมชาติได้
การรดน้ำที่เหมาะสม
ผักที่ปลูกในร่มต้องการน้ำน้อยกว่าผักที่ปลูกกลางแจ้ง ควรรดน้ำเมื่อดินเริ่มแห้ง ไม่ควรรดน้ำมากเกินไปจนดินแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าได้ ควรสังเกตความชื้นของดินก่อนรดน้ำทุกครั้ง และรดน้ำให้พอดี
การใส่ปุ๋ยและบำรุงดิน
ผักที่ปลูกในร่มควรได้รับการบำรุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือน้ำหมักชีวภาพ การใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จะช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี และช่วยในการดูดซึมธาตุอาหาร
การป้องกันโรคและแมลง
ผักที่ปลูกในร่มมักมีปัญหาเรื่องโรคราน้อยกว่าผักที่ปลูกกลางแจ้ง แต่ก็ควรหมั่นตรวจสอบอาการผิดปกติของต้นไม้อยู่เสมอ หากพบว่ามีโรคหรือแมลงรบกวน ควรใช้วิธีการป้องกันและกำจัดแบบชีวภาพ เช่น การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลีส

สรรพคุณและประโยชน์ของผักในร่ม
ผักสวนครัวที่ปลูกในร่มไม่เพียงแต่สวยงามและใช้พื้นที่น้อย แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา เช่น ช่วยระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดไข้ และแก้หวัด
การปลูกผักในร่มยังช่วยเพิ่มออกซิเจนและความชื้นในอากาศ ทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ปลูกอีกด้วย
สรุป
การปลูกผักในร่มเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือไม่มีพื้นที่กลางแจ้ง ผักทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมา ได้แก่ ผักชี ต้นหอม ขิง บล็อกโคลี แครอต ขึ้นฉ่าย และผักกาดหอม สามารถเจริญเติบโตได้ดีในร่มหรือในที่ที่มีแสงแดดน้อย การปลูกผักในร่มไม่เพียงแต่ให้ผักสด ปลอดสารพิษไว้รับประทานเอง แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้านอีกด้วย
#สาระ #ผักในร่ม #ปลูกผักในบ้าน #สวนครัว #ผักไม่ต้องการแสงแดด #ปลูกผักในห้องครัว #ผักชี #ต้นหอม #ขิง