“วันแบรนด์” ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของแอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป ที่จะทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและเดินไปสู่เป้าหมาย 3 ปี รายได้ 5,000 ล้านบาท
ศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทปรับภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งใหญ่ ให้อยู่ภายใต้แบรนด์เดียว (One Brand) คือ เอไฟว์ “A5” (เอไฟว์) โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ A5 ให้ดูอบอุ่น เข้าถึงง่าย และใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ของกลุ่ม A5 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่และทุกเจเนอเรชั่น หลังจากบริษัทเข้ามาทำตลาดเป็นเวลา 10 ปี พร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯราวปี 2560 ที่ผ่านมา
สำหรับการปรับภาพลักษณ์พร้อมโลโกใหม่ ‘A5’ ในครั้งนี้ บริษัทยังวางวิสัยทัศน์การขยายธุรกิจ (Diversify) ไปยังกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย เพื่อสร้างโอกาส และ รายได้ประจำใหม่ (Recuring Income) ที่จะเข้ามาในอนาคต
พร้อมวางแผนธุรกิจในระยะ3 ปี (2567-2569) เตรียมงบลงทุน 1,000 ล้านบาท จัดซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนา โดยภายใน 3 ปี บริษัทมีแผนเปิดตัวอย่างน้อย 14 โครงการอสังหาฯแนวราบทั้ง 3 แบรนด์ ประกอบด้วย
CINQ Royal บ้านซูเปอร์ลักซูรี ระดับราคา 60 ล้านบาทขึ้นไป
Vana Residence บ้านลักซูรี ระดับราคา 25-50 ล้านบาท
รชยา บริษัทร่วมทุน (JV) กับบริษัทโลคอล บ้านกลาง-ล่าง ในต่างจังหวัด ระดับราคา 3.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังการรีแบรนด์ บริษัทได้นำร่องเปิดตัวโครงการ “วนา ราชพฤกษ์-เวสต์วิลล์” ระดับราคา 25-50 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้า Real Demand ในโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ บนที่ดินกว่า 17 ไร่ จำนวน 43 ยูนิต มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ขนาดที่ดิน 60-140 ตารางวา ขนาดพื้นที่ใช้สอย 415-556 ตารางเมตร มูลค่าโครงการรวม 1,700 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 50% เตรียมเปิด Pre-Sales เฟสแรกปลายปี และคาดว่าจะเริ่มรับรู้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2566 ประมาณ 200 ล้านบาท
นอกจากนั้น A5 ยังได้วางโรดแมปเพื่อดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ) ตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (ในปี2567- 2569) โดยในครึ่งแรกของปี 2566 (ม.ค.- มิ.ย.) บริษัทมีรายได้รวม 660 ล้านบาท จากเป้ารายได้ทั้งปีที่ 1,600 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งหลังของปีนี้ วางเป้ารับรู้รายได้เพิ่ม 1,000 ล้านบาท จากยอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 2,400 ล้านบาท
ศุภโชค กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับแรงกดดันที่มาจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการ ประกอบกับกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง จากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์อาจจะชะลอตัว รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติยังไม่กลับมา
สำหรับนโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เคยเป็นอดีตผู้บริหารในภาคอสังหาฯมาก่อน นั้นเห็นว่า ควรเร่ง 2 ประเด็น คือ 1.สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และ 2.ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น และ 2. การผ่อนคลายมาตรการ LTV เพื่อให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือจากการต้องนำเงินมาจ่ายเงินดาวน์เพิ่ม
ส่วนการเปิดให้คนต่างชาติ เข้ามาซื้อบ้านแนวราบนั้นควรมีเกณฑ์ชัดเจนและรัดกุมเ โดยรัฐบาลอาจดำเนินวิธีการเช่าซื้อระยะเวลา 30 ปี และบวกต่อได้อีก 30 ปี หรือ 30 ปี บวกได้เพิ่มมากกว่า 30 ปี เป็นต้น